รีวิว OPPO Reno10 Pro 5G สมาร์ตโฟนสาย Portrait, จอภาพ 120Hz สวยคม ชาร์จไว 80W
OPPO Reno10 Pro 5G เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นกลางในซีรีย์ Reno10 Pro Series 5G ของ OPPO ประเทศไทย ที่พึ่งเปิดตัวทางการไปเมื่อนานมานี้ โดยทาง “ออปโป้” เลือกใช้จุดขายของซีรีย์ในเรื่องของการถ่ายภาพ Portrait แบบมืออาชีพอีกครั้ง
ดังนั้น OPPO Reno10 Pro 5G ที่ทางทีมนำมารีวิวในครั้งนี้ แน่นอนครับว่าจุดเด่นของรุ่นหนีไม่พ้นเรื่องของความเก่งกาจในด้านการถ่ายภาพ Portrait ด้วยเช่นกัน แต่จะมีความพิเศษตรงนี้เขาเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางรุ่นแรก ที่สามารถถ่ายภาพพอร์ตเทรตด้วยระยะซูม Optical 2X จากกล้องถ่ายรูป Telephoto Portrait ความละเอียด 32MP ได้!!
สเปกตัวเครื่อง | SPEC
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2412×1080 พิกเซล (FHD+)
- Refresh rate 120Hz
- Touch Sampling rate 240Hz
- Color 10 Bit (1.07 พันล้านสี)
- รองรับ HDR, HDR10+
- Peak Brightness 950 nits (Thailand Model)
- ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 778 5G
- GPU Adreno 642L
- RAM 12GB (LPDDR4x)
- ROM 256GB (UFS 2.2)
- ColorOS 13.1 Base on Android 13
- กล้องถ่ายรูป Triple Camera ประกอบด้วย
- กล้องหลัก ความละเอียด 50MP (F1.8)
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 32MP (F2.0)
- กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8MP (F2.2, FOV 112 องศา)
- กล้องหน้าความละเอียด 32MP (F2.4, FOV 90 องศา, AF)
- รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 6, Bluetooth 5.2, USB-C
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ขนาด 4600 mAh
- ชาร์จไว SuperVOOC 80W
- QC 9V/2A
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- OPPO Reno10 Pro 5G
- เคสใส
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- สายชาร์จ USB-C
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟ
ถ่ายภาพ Portrait ด้วยการซูม! | 32MP Telephoto Portrait camera
จุดเด่นหรือจุดขายหลักของ OPPO Reno10 Pro 5G อยู่ที่การเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางรุ่นแรกในเวลานี้ ที่ใส่กล้องถ่ายรูป Telephoto Portrait ความละเอียด 32MP โดยใช้เซ็นเซอร์กล้อง SONY IMX709 มาให้ และน่าจะเป็นรุ่นแรกที่หยิบเรื่องการถ่ายภาพซูม Portrait มาใช้เป็นจุดขายจริงจังด้วย
สำหรับการถ่ายภาพ “Telephoto Portrait” ของ OPPO Reno10 Pro 5G ก็คือการถ่ายภาพ Portrait ที่ใช้การซูมภาพเข้าไปหานางแบบหรือนายแบบให้ใกล้ขึ้นด้วยระยะเลนส์ (Focal Lengths) ทำให้เราสามารถได้ภาพถ่ายบุคคลที่สวย และเติมมิติหรือมุมมองของภาพได้มากขึ้น เพราะการถ่ายภาพแนว Portrait เราจะเน้นไปที่ตัวแบบมากกว่าสภาพแวดล้อมอยู่แล้ว ดังนั้นการซูมระยะภาพเข้าไปใกล้แบบมากขึ้นและได้กล้องที่มีความละเอียดสูง ก็จะช่วยเก็บรายละเอียดของผิว ใบหน้า หรือเครื่องประดับได้ชัดเจนขึ้น
ดังนั้นการซูมเข้าไปใกล้ ก็จะเป็นการเน้นไปที่ตัวแบบให้เด่นชัดนั่นเอง และเมื่อได้ซอฟต์แวร์ที่ทางออปโป้มีความเก่งในเรื่องของการถ่ายภาพ Portrait อยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้เราสามารถถ่ายภาพแนวนี้ได้ง่ายและสนุกมากขึ้น รวมทั้งยังได้ภาพถ่ายบุคคลที่สวยมีมิติยิ่งขึ้นด้วย ส่วนผลงานหลังกล้องจะเป็นอย่างไร คงต้องให้เพื่อน ๆ พิจารณาจากภาพตัวอย่างจากการใช้ Telephoto Portrait กันครับ
มุมมองภาพถ่าย Portrait แบบปกติ (1x) และถ่ายด้วย Telephoto Portrait (2x)
ภาพถ่าย Portrait ด้วย Telephoto Portrait (2X)
กล้องถ่ายรูป Triple camera 50MP | Ultra-Clear Portrait
นอกจากกล้อง Telephoto Portrait ที่เป็นจุดขายหลักของรุ่นแล้ว ถ้าถอยออกมาดูในภาพรวมของชุดกล้อง Triple camera ที่ทางออปโป้ติดตั้งมาให้ด้วย ก็ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่มีกล้องถ่ายรูปสเปกดีไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน โดยเฉพาะกล้องหลักที่ได้เซ็นเซอร์กล้องระดับเรือธงอย่าง SONY IMX890 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.56 นิ้ว ความละเอียด 50MP เลยทีเดียว
มาดูรายละเอียดของกล้องถ่ายรูปทั้งสามของ Reno10 Pro 5G กันครับ จะประกอบด้วย
- กล้องหลักเซ็นเซอร์ SONY IMX890 ความละเอียด 50MP (F1.8, Auto Focus)
- กล้อง Telephoto Portrait ความละเอียด 32MP (F2.0, Auto Focus )
- กล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra-wide ความละเอียด 8MP (F2.2, Fixed Focus)
ผลงานภาพถ่ายจากกล้อง OPPO Reno10 Pro 5G
Portrait
ภาพถ่ายทั่วไป
ภาพถ่ายโหมด HD
กล้องหน้าความละเอียด 32MP
ภาพจากกล้องหน้า OPPO Reno10 Pro 5G
ตัวเครื่องบาง สวย จอ 120Hz | PREMIUM DESIGN
OPPO Reno10 Pro 5G มาพร้อมงานออกแบบตัวเครื่องสไตล์ 3D Curved ดังนั้นตัวขอบหน้าจอแสดงผล และขอบบอดี้ของเครื่องจะมีความโค้งมนเพื่อสอดรับกัน ความโค้งแบบนี้เราเคยเห็นมาแล้วในมือถือบางรุ่นของ OPPO ซึ่งข้อดีของการออกแบบสไตล์นี้ นอกจากช่วยความพรีเมี่ยมให้กับตัวเครื่องแล้ว ยังเพิ่มความกระชับเข้ากับมือเวลาถือใช้งานให้มากขึ้นด้วย
ในด้านของมิติตัวเครื่องทางออปโป้ก็ออกแบบให้ตัวเครื่องมีความเพรียวบาง น้ำหนักเบาด้วย ทำให้สามารถพกในกระเป๋ากางเกงยีนส์หรือกระเป๋าสะพายของคุณผู้หญิงได้ง่าย โดยตัวเครื่องมีความบางเพียง 7.89 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักตัวเครื่องรวมที่ 185 กรัมเท่านั้น
ด้านหน้าของตัวเครื่อง มีหน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ มีค่า Refresh rate 120Hz รองรับการสแกนนิ้วมือบนหน้าจอ และรองรับการแสดงสีสันได้ลึกถึง 1.07 พันล้านสีหรือ 10 Bit รวมทั้งยังปรับความสว่างได้สูงถึง 950 nits ซึ่งจากที่ผมได้นำไปใช้งานกลางแจ้งบ่อยครั้งยืนยันให้เลยครับว่า เป็นจอที่สู้แสงแน่นอน
ส่วนบริเวณตรงกลางข้างบนหน้าจอจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้าความละเอียด 32MP (F2.4, FOV 90 องศา)
ด้านข้างขวาของตัวเครื่องจะเป็นตำแหน่งของปุ่มกดปรับระดับเสียง (Volume) และปุ่มเปิด-ปิดตัวเครื่อง (Power)
ด้านบนตัวเครื่องมีพอร์ต IR Remote และไมค์ตัดเสียงรบกวน
และด้านล่างตัวเครื่องมีช่องถาดซิมการ์ด, พอร์ต USB-C และลำโพงเสียงตัวเครื่อง
ด้านหลังตัวเครื่องจะเป็นตำแหน่งของโมดูลกล้องที่ออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ “Laser-Centric Camera Matrix” กับการจัดวางเลนส์กล้องทั้งสามให้สมมาตร โดยกล้องถ่ายรูปทั้งสามประกอบด้วย กล้องหลักความละเอียด 50MP, กล้อง Telephoto Portrait ความละเอียด 32MP และกล้องเลนส์มุมกว้างความละเอียด 8MP มีไฟแฟลช LED สองดวง
ประสิทธิภาพสมราคา | PERFORMANCE
ColorOS 13.1 Base on Android 13 พร้อม Dynamic Computing Engine
OPPO Reno10 Pro 5G ทำงานบนซอฟต์แวร์ ColorOS 13.1 ที่ใช้พื้นฐานของ Android 13 ดังนั้นก็จะได้อินเทอร์เฟซ (UI) แบบเดียวกับรุ่นท็อปของค่ายอย่าง Aquamorphic Design และลูกเล่นต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี Dynamic Computing Engine เป็นแพลตฟอร์มที่ทำตัวเสมือนเป็นหัวหน้าทีม ที่คอยบริหารจัดการความต้องการของระบบให้มีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา
อินเทอร์เฟซ ColorOS 13.1
ซึ่งแพลตฟอร์มตัวนี้เองที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่หลายคนกังวล กับการที่เครื่องมักจะช้าและหน่วงมากขึ้น เมื่อใช้งานไปนานหลายปี โดยทางออปโป้การันตีตามผลทดลองจากห้องแล็ปว่า แพลตฟอร์มนี้สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้นานถึงแม้จะใช้งานมากกว่า 48 เดือน แล้วก็ตาม
ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีโอกาสใช้งานสมาร์ตโฟนออปโป้นานขนาดนั้น แต่จากที่อยู่กับ OPPO Reno10 Pro 5G มาประมาณ 1 สัปดาห์ เปิดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ตามปกติเหมือนที่เราใช้บนเครื่องหลัก เช่น Facebook, Youtube, Mobile Banking, Gmail และอื่น ๆ ทิ้งไว้ก็รู้สึกว่าเครื่องไม่ได้หน่วงหรือมีแอปฯ ปิดตัวจากปัญหาหน่วยความจำไม่พอแต่อย่างใดนะ
ผลคะแนนทดสอบจาก Benchmark Application
เทคโนโลยีชาร์จไว SuperVOOC 80W พร้อมชิปควบคุมการชาร์จ SuperVOOC S
ครั้งนี้ทางออปโป้ได้ใส่เทคโนโลยีชาร์จไว SuperVOOC 80W มาให้ใน OPPO Reno10 Pro 5G ด้วย และยังติดตั้งชิปควบคุมการชาร์จอย่าง SuperVOOC S ที่ปกติเราไม่ค่อยได้เห็นในสมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่กลุ่มเรือธงของแบรนด์เท่าไรนัก แต่ครั้งนี้ทางออปโป้ใส่มาให้ในมือถือระดับกลางอย่าง Reno10 Pro 5G ด้วย
ดังนั้นในเรื่องของการชาร์จอุ่นใจได้แน่นอนว่า โอกาสเกิดปัญหาที่อาจนำไปสู่การลัดวงจรไฟฟ้าอะไรแบบนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากขึ้น เพราะตัวชิปจะเข้ามาควบคุมบริหารปัจจัยการชาร์จให้ตลอดการใช้งานตัวเครื่อง กลับมาที่เรื่องของการชาร์จไวกันบ้าง SuperVOOC 80W กับแบตเตอรี่ขนาด 4600 mAh บนตัวเครื่อง
จากที่ผมได้ลองชาร์จและจับเวลาเพื่อเฉลี่ยค่าออกมา ก็พบว่าตัวเครื่องสามารถชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ประมาณ 48-50% ภายใน 10-13 นาที และสามารถชาร์จจนเต็มร้อยได้ภายใน 45-50 นาที เท่านั้น ก็ถือว่าสามารถช่วยเซฟเวลาในการใช้งานในแต่ละวันได้ดีเลยทีเดียว
สรุป | Recap
OPPO Reno10 Pro 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มีคาแร็คเตอร์ชัดเจนมาก ๆ อยู่สองเรื่อง อย่างแรกก็คือ “Tele Portrait” บนเซ็นเซอร์กล้องความละเอียด 32MP ที่สูงที่สุดในช่วงราคาจำหน่าย ซึ่งผลลัพธ์หลังกล้องสำหรับงานถ่ายภาพ Portrait ส่วนตัวผมให้ผ่านนะครับถ้าหากเทียบกับราคาค่าตัวกับคุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้
อย่างที่สองก็คือ งานดีไซน์ตัวเครื่องที่ดีไซน์มาได้ลงตัว สวยพรีเมี่ยมมาก ๆ และเทคโนโลยีชาร์จไว SuperVOOC 80W พร้อมชิปควบคุมการชาร์จ SuperVOOC S ที่ตามปกติทางออปโป้มักจะติดตั้งมาให้เฉพาะในรุ่นท็อปเท่านั้น แต่รอบนี้ Reno10 Pro 5G ที่เป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางได้มาด้วย
เมื่อรวมสองจุดเด่นเข้าด้วยกัน ก็จะเห็นภาพเลยว่า “OPPO Reno10 Pro 5G” เป็นสมาร์ตโฟนที่เหมาะสำหรับใครที่กำลังอยากได้มือถือราคาหมื่นกลาง ๆ ที่ดีไซน์ดูพรีเมี่ยมหน่อย พร้อมกับงานถ่ายภาพ Portrait จากกล้องที่ไว้ใจได้ สามารถกดถ่ายพร้อมแชร์ขึ้นโซเชี่ยลได้เลย และได้ชาร์จไวมาไว้ให้อุ่นใจ ทั้งหมดนี้ถ้ากำลังอยู่ในความต้องการของคุณ ก็ยินดีด้วยครับคุณได้เจอเนื้อคู่แล้ว….!!
การวางจำหน่ายและโปรโมชั่น | Price & Promotion
OPPO ประเทศไทย วางจำหน่าย OPPO Reno10 Pro 5G ในราคา 17,990 บาท พร้อมสีตัวเครื่องให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 สี คือสีม่วง Glossy Purple (สีในรีวิว) และสีเทา Silvery Grey สามารถหาซื้อได้ที่ OPPO Official Store, OPPO Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
พิเศษ! ถ้าหากซื้อพร้อมแพ็คเกจจากผู้ให้บริการเครือข่าย AIS, True และ dtac รับส่วนลดค่าเครื่องสูงสุด 8,100 บาท หมดเขตรับสิทธิ์ 31 สิงหาคม 2566





































































