REVIEWMOBILE

รีวิว vivo X200 มือถือ Compact Flagship ที่ครบเครื่องทั้งประสิทธิภาพและการถ่ายภาพด้วยกล้อง ZEISS ทั้งสาม คมชัด 50MP

รีวิว vivo X200 “ZEISS Image, Go Far” หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่ได้รับคำชมว่าเก่งและถ่ายรูปสวยมากที่สุดอีกรุ่นของอุตสาหกรรมมือถือในเวลานี้ ถึงแม้จะเป็นน้องเล็กของซีรีส์ แต่ก็มีความครบเครื่องและความเก่งในการใช้งานได้ดีไม่แพ้รุ่นพี่ vivo X200 Pro เหมือนกัน นอกจากนี้ ยังมากับดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่ใช้หน้าจอแบน ขอบมุมโค้งเล็กน้อยทั้ง 4 ด้าน ในขณะที่กล้องถ่ายรูปที่หลายคนชื่นชอบความเก่งและความสวยของ vivo X Series ก็ได้รับการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถใหม่ ๆ เข้ามา

รวมถึงการนำเทคโนโลยีภายใต้จักรวาล “Blue Tech” ของ vivo เข้ามาใช้งานบนตัวเครื่องด้วย ทำให้เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่เชื่อว่า น่าจะถูกใจใครหลายคนได้แน่นอน ถ้าพร้อมแล้ว! ตามผมไปสัมผัสและลองใช้งานน้องเล็กคนใหม่ของ vivo อย่าง vivo X200 ด้วยกันด้านล่างได้เลยครับ…แล้วคุณจะหลงรักน้องเล็กคนนี้แน่นอน

เลือกอ่านตามหัวข้อ

สเปกตัวเครื่อง vivo X200 

  • จอแสดงผล AMOLED ดีไซน์ใหม่ Micro Quad Curved Screen ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2800 x 1260 พิกเซล (1.5K)
    — Refresh rate 120Hz
    — ความหนาแน่นพิกเซล 460PPI
    — วัสดุเปล่งแสง VM8
    — ความสว่างสูงสุด 4500nits
    — สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
  • ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9400 (3nm) 3.6GHz (BlueChip)
  • GPU Immortalis-G925
  • RAM 12GB (LPDDR5X) + Extended RAM 12GB
  • ROM 256GB (UFS 4.0)
  • กล้องถ่ายรูป Triple ZEISS Camera
    — Main : 50MP (F1.57)
    — Ultrawide : 50MP (F2.0)
    — Telephoto : 50MP (F2.57)
  • กล้องหน้า ความละเอียด 32MP (F2.0)
  • Funtouch OS 15 (Android 15)
  • รองรับซิมการ์ด Dual Nano SIM | Dual 5G Stand by (5G + 5G)
  • เครือข่าย
    — 5G : n1 / n3 / n5 / n7 / n8 / n20 / n26 / n28 / n38 / n40 / n41 / n75 / n77 / n78
    — 4G TD-LTE : B38 / B39 / B40 / B41 / B42
    — 4G FDD-LTE : B1 / B2 / B3 / B4 / B5 / B7 / B8 / B12 / B17 / B18 / B19 / B20 / B26 / B28 / B32
    — 3G : B1 / B2 / B4 / B5 / B8
    — 2G : 850 / 900 / 1800 / 1900 MHz
  • Wi-Fi 7 : Wi-Fi Display, 2×2 MIMO, MU-MIMO
  • GPS : BeiDou, GLONASS, Galileo, QZSS
  • Bluetooth 5.4
  • USB-C 2.0
  • แบตเตอรี่ขนาดความจุ 5800mAh (BlueVolt)
    — รองรับชาร์จไว 90W
  • สีตัวเครื่อง
    — สีน้ำเงิน Ocean Blue (สีไฮไลต์)
    — สีเขียว Aurora Green
    — สีดำ Midnight Black

อุปกรณ์ภายในกล่อง

  • ตัวเครื่อง vivo X200
  • คู่มือการใช้งาน / การรับประกัน
  • ฟิล์มกันรอย (ติดมากับตัวเครื่อง)
  • อแดปเตอร์ชาร์จ (90W)
  • สายชาร์จ USB-C to USB-C
  • เคสซิลิโคน (เฉพาะตัวเครื่องสีน้ำเงิน Ocean Blue จะได้เคสสีน้ำเงิน)
  • เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ


Design | ดีไซน์ใหม่ Micro Quad Curved Screen กระชับและพอดีมือ 

vivo X200 มาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องใหม่และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ vivo กลับมาใช้ดีไซน์เครื่องแบบ Flat design โดยใช้หน้าจอแบนแบนใหม่นามว่า “Micro Quad Curved Screen” ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ 1.5K (120Hz) ใช้พาแนลจอเป็น AMOLED และมาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 32MP (F2.0) 

มาพร้อมตัวเลือกสีทั้งหมด 3 สี คือ 

  • Midnight Black – สีดำด้าน ดูทรงพลัง ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชื่นชอบความคลาสสิก
  • Aurora Green – สีเขียวปัดเงาที่สื่อถึงความสง่าและความงดงามของธรรมชาติ
  • Ocean Blue – สีน้ำเงินเข้มอันเรียบหรู ดูลึกลับ มีเสน่ห์ เพิ่มความโดดเด่นให้กับผู้ใช้

ขยายความ Micro Quad Curved Screen สักนิด

Micro Quad Curved Screen จะเป็นหน้าจอแบนดีไซน์ใหม่ที่คาดว่าน่าจะเป็นมาตรฐานจอแสดงผลบนมือถือเรือธงนับจากนี้ โดยจอชนิดนี้ที่ขอบมุมของจอจะมีความโค้งขึ้นเล็กน้อยทั้ง 4 ด้าน การโค้งขึ้นเล็กน้อยของหน้าจอนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกเข้ามือและชอบเป็นพิเศษ เพราะเราสามารถถือจับใช้งานตัวเครื่องได้กระชับมากกว่าจอแบบโค้งที่ผ่านมา และยังมอบประสบการณ์การมองเห็นในรูปแบบ 3D Curved Screen ช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสบการณ์การรับชมที่ยอดเยี่ยมด้วย

——————————–

ZEISS Master Color | ครั้งแรกของ vivo กับจอแสดงผล ZEISS

นอกจากเป็นหน้าจอแบนชนิดใหม่แล้ว ยังเป็นครั้งแรกด้วยกับการใช้หน้าจอ “ZEISS Master Color” บนสมาร์ตโฟน ซึ่งมีจุดเด่นสำคัญเลยคือ การมอบสีสันสไตล์ธรรมชาติในแบบของ ZEISS ผ่านหน้าจออัตราการรีเฟรช 120Hz ให้ความสว่างสูงสุด 4500nits ช่วยให้เราสามารถรับชมภาพที่ชัดเจน สดใส และสวยสมจริง และยังปกป้องดวงตาผ่านเทคโนโลยี Full Range Luminance 2160Hz PWM Dimming ช่วยลดการกระพริบของหน้าจอและลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้งานหน้าจอเป็นเวลานาน และรองรับคุณสมบัติการแสดงผลทั้ง HDR10+ และ Netflix HDR ด้วย

——————————–

ภาพรอบตัวเครื่องของ vivo X200

——————————–

IP68 & IP69 Ratings Dust and Water Resistance

เป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธง ดังนั้น vivo X200 ก็มาพร้อมกับการผ่านการรองรับมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 & IP69 ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของมือถือเรือธงในยุคนี้ ซึ่งช่วยป้องกันน้ำและฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมขอเสริมข้อมูลเรื่อง IP69 ให้สักนิดครับ เพราะน่าจะเป็นมาตรฐานที่หลายคนอาจพึ่งเคยได้ยิน

โดย IP69 จะมีการทนน้ำและฝุ่นที่เหมือนกับ IP68 แตกต่างกันตรง IP69 จะทนต่อแรงดันน้ำระดับสูงได้ ส่วน IP68 จะทนน้ำเมื่อวัตถุจมอยู่ในน้ำลึก 1 เมตร ดังนั้นเมื่อมีสองมาตรฐานนี้ในเครื่องเดียว นั่นก็แปลว่าตัวเครื่องสามารถทนต่อแรงดันน้ำระดับสูงได้และทนน้ำเมื่อจมน้ำลึก 1 เมตร นั่นเอง

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ


— กล้องถ่ายรูป

มาถึงจุดขายหลักของ vivo X200 กับเรื่องราวของกล้องถ่ายรูปกันบ้างครับ ซึ่งครั้งนี้ทาง vivo ได้ติดตั้งกล้องถ่ายรูปของ vivo X200 มาให้ด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว (Triple ZEISS Camera) เช่นเดิม

  • กล้องหลัก 50MP VCS True Color
    เซนเซอร์ IMX921, 1/1.56 นิ้ว, รูรับแสง f/1.57, ระยะ 23 mm, CIPA 4.5
  • กล้องเทเลโฟโต้ ZEISS 50 MP
    เซนเซอร์ IMX882, 1/2 นิ้ว, รูรับแสง f/2.57, ไฮเปอร์ซูม 100x
  • กล้องมุมกว้างพิเศษ 50 MP
    1/2.76 นิ้ว, รูรับแสง f/2.0, มุมมองกว้าง 119 องศา

โดยกล้องทั้งสามถูกครอบทับด้วยเลนส์ ZEISS T* Coating เลนส์กล้อง ZEISS พร้อมเคลือบสารลดแสงสะท้อนจาก ZEISS 

หน้าเมนูและการตั้งค่ากล้องของ vivo X200

เซนเซอร์กล้องหลัก vivo ยังคงร่วมมือพัฒนากับทาง SONY ในปรับจูนเซนเซอร์ให้ออกมาตรงตามสเปกที่ vivo ต้องการเหมือนเช่นเดิม พร้อมกับนำเทคโนโลยี Camera-Bionic Spectrum (VCS) ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นมา ซึ่งช่วยในเรื่องของการเพิ่มความแมนยำและลดการคลาดเคลื่อนของสี ทำให้ได้ภาพถ่ายที่มีสีสันใกล้เคียงกับตาเห็นมากที่สุด มีความคลาดเคลื่อนของสีน้อยที่สุดมาใช้งานบน vivo X200 ด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กล้องของ vivo X200 มีความครบเครื่องในการถ่ายภาพไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ นั่นเอง เพราะทั้งโฟกัสไว ฉลาด ปรับระยะถ่ายภาพได้หลากหลาย และให้ภาพที่คมชัดสีสันสมจริง เราลองไปชมพร้อมตัวอย่างจากกล้องของ vivo X200 กันเลยครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายทั่วไปจากกล้องของ vivo X200

Color Tone : สดใส, มีมิติ และ ZEISS (ธรรมชาติ)

ก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายภาพด้วย vivo X200 นั้น เราจำเป็นต้องเลือกโทนสีหรือสไตล์สีสันของภาพถ่ายที่เราชอบกันก่อนนะครับ ไม่งั้นเราก็ต้องถ่ายด้วยค่าเริ่มต้นของกล้องที่เป็น “สดใส” ซึ่งบางคนอาจไม่ชอบ แล้วเดี๋ยวจะพาเฟลไปทั้งหมดด้วย ดังนั้นเลยอยากแนะนำก่อนว่า ควรเข้าไปเลือกปรับสไตล์หรือโทนสีของภาพที่ชอบกันก่อน โดยกล้องของ vivo X200 จะสามารถเลือกโทนสีของภาพได้ทั้งหมด 3 สไตล์คือ สดใส (คล้าย Vivid), มีมิติ (Vintage) และ ZEISS (ธรรมชาติ อันนี้แนะนำ) 

ตัวอย่างภาพถ่าย Color Tone

🔵 สดใส

🔵 มีมิติ

🔵 ZEISS ธรรมชาติ

——————————–

โหมดถ่ายภาพ

โหมดถ่ายภาพหลักบน vivo X200 จะมีโหมดสำหรับการถ่ายภาพนิ่ง (Photo) ให้เลือกใช้งานทั้งหมด 4 โหมด ประกอบด้วย

Super Landscape Mode (ทิวทัศน์)

โหมดถ่ายภาพใหม่ที่ทาง vivo เพิ่มเข้ามาให้สำหรับคนที่ชื่นชอบถ่ายภาพแนว ‘ทิวทัศน์’ ต่าง ๆ บอกเลยว่า โหมดถ่ายภาพนี้ถูกใจผมมาก ๆ ครับ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบถ่ายวิวทิวทัศน์มากกว่าพอร์ตเทรต พอมีโหมดแยกออกมาให้ใช้แบบ Stand alone เช่นนี้ก็ชอบเลย! รวมทั้งทาง vivo ยังใส่ฟิลเตอร์พิเศษที่มีการปรับจูนค่าสีมาสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูมีมิติ มีสตอรี่มากขึ้นโดยเฉพาะเข้ามาเพิ่มให้อีก 2 ฟิลเตอร์ คือ “Atmosphere” และ “Soft” เป็นสองฟิลเตอร์ที่พอได้ลองใช้แล้ว รู้สึกเลยว่าสามารถช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพวิวออกมาให้สวยงาม มีเรื่องราว และมีมิติได้ง่าย ๆ แค่กดชัตเตอร์เดียว

ตัวอย่างภาพถ่าย Landscape Styles

จุดเด่นของโหมดถ่ายภาพทิวทัศน์ นอกจากเป็นการยุบรวมโหมดถ่ายภาพย่อยต่าง ๆ เช่นโหมดกลางคืน, โหมดถ่ายดวงจันทร์ โหมดถ่ายดวงดาว หรือโหมด Long Exposure เข้าไว้ด้วยกันภายในโหมดถ่ายภาพเดียวแล้ว ในโหมดนี้ยังเป็นการโชว์ความเก่งของ vivo X200 ในด้านของ Landscape Long Exposure และ XDR Photo 3.0 ด้วยครับ

  • Landscape Long Exposure 

กล้องของ vivo X200 มีการพัฒนาให้รองรับการถ่ายภาพ Landscape แบบ Long Exposure ได้ด้วยครับ ดังนั้นเราจึงสามารถนำการเปิดหน้ากล้องนาน ๆ หรือ Long Exposure ไปสร้างสรรค์เป็นภาพถ่ายวิวต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และยังได้ภาพที่คุณภาพสูงผ่านเอฟเฟกต์ HDR และ Slow-shutter หรือถ้ายังเป็นมือใหม่ก็ไม่ต้องกังวล เพราะทาง vivo มีใส่เทมเพลตการถ่ายภาพแบบ Long Exposure มาให้เล่นด้วยกันถึง 6 รูปแบบ

ตัวอย่างภาพถ่าย Long Exposure

  • XDR Photo 3.0

อีกหนึ่งความสามารถที่ถูกจับมาใส่บน vivo X200 ในครั้งนี้ คือการที่กล้องรองรับ XDR Photo 3.0 ด้วย ภาพครั้งนี้ในโหมดถ่ายภาพจะมีลูกเล่นการถ่ายภาพขาว–ดำ เข้ามาให้เลือกถ่ายกันด้วย มีทั้งการถ่ายพอร์ตเทรตและการถ่าย Landscape ดังนั้นการมี XDR Photo 3.0 เข้ามา จะช่วยยกระดับคุณภาพการแสดงผลของภาพ ตั้งแต่การถ่ายและประมวลผล ไปจนถึงการแสดงผลภาพ มอบการถ่ายทอดแสงและเงาได้อย่างสมจริงและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น

ตัวอย่างภาพถ่าย XDR

——————————–

โหมดถ่ายภาพคน (Portrait)

โหมดถ่ายภาพ Portrait หรือถ่ายภาพคน เป็นโหมดถ่ายภาพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและสร้างชื่อเสียงให้กับ vivo X Serie เลยก็ว่าได้ เพราะคุณจะได้ใช้คุณสมบัติ “ZEISS Style Portrait” สำหรับถ่ายภาพคนโดยเฉพาะ โดยจุดเด่นของ ZEISS Style Portrait จะมี 2 อย่างคือ

🔵 มีโหมดถ่ายภาพสำเร็จรูปตามระยะการถ่ายภาพพอร์ตเทรตจาก ZEISS มาให้ ซึ่งตัวซอฟต์แวร์กล้องจะทำการปรับรูปแบบ Bokeh ตามสไตล์ ZEISS ให้อัตโนมัติตามระยะถ่ายภาพ เราเพียงแค่ทำการเลือกระยะถ่ายที่ต้องการแล้วกดชัตเตอร์แค่นั้น ซึ่งระยะถ่ายที่เราเลือกได้จากฟีเจอร์นี้จะประกอบด้วยระยะ 23มม. (1x), 35มม. (1.5x), 50มม. (2.2x), 85มม. (3.6x) และ 100มม. (4.3x)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากชุดเลนส์ภาพคน

🔵 ถ่ายภาพด้วย Bokeh ของ ZEISS โดยที่เราเป็นคนเลือกรูปแบบ Bokeh ด้วยตนเอง ซึ่งรูปแบบ Bokeh ของ ZEISS จะมีด้วยกันทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ

  • ZEISS Biotar (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Biotar 1.5/75)
    โบเก้พอร์ตเทรตแบบหมุนวน แสงแฟร์รูปทรงมะกอก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ ZEISS Biotar Lens ของ ZEISS
  • ZEISS Sonnar (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Sonnar 2.8/180)
    โบเก้แบบนุ่มละมุนชวนฝัน เหมือนใช้เลนส์ ZEISS Sonnar 180mm. ระยะโฟกัส F2.8 
  • ZEISS Distagon (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Distagon 2.0/28)
    โบเก้รูปทรงหกเหลี่ยม รูรับแสง 2.0/28″ ให้ภาพพอร์ตเทรตที่คมชัดทั้งในส่วนที่โฟกัสและจุดที่เบลอละลาย
  • ZEISS Planar (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Planar 2.8/80)
    โบเก้แบบคลาสสิกดั่งเดิม ขอบแสงแฟร์คมชัด เหมือนใช้เลนส์รูรับแสง 2.0/80″
  • ZEISS Cinematic
    ถ่ายภาพพอร์ตเทรตในสไตล์ภาพยนตร์ ด้วยอัตราส่วนภาพ 2.39:1 สร้างแสงแฟลร์วงรีและเอฟเฟกต์เส้นแสงสีน้ำเงิน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้ไฟถนนในเวลากลางคืน
  • ZEISS Cine-flare
    ขณะถ่ายภาพท่ามกลางแสงจ้า จะทำให้เกิดแสงแฟลร์เหมือนในภาพยนตร์

ตัวอย่างภาพถ่ายด้วย ZEISS Style Portrait

——————————–

โหมดภาพถ่าย (Photo)

โหมดนี้เป็นโหมดถ่ายภาพปกติที่เป็น Default หรือค่าเริ่มต้นของมือถือนั่นเองครับ ภายในโหมดก็จะมีฟิลเตอร์สีทั่วไปให้เราเลือกปรับเล่นตามชอบได้ และก็มีระยะการถ่ายภาพ (Focal Length) ให้เลือกปรับได้ตามต้องการเช่นกันครับ โดยระยะถ่ายภาพ Optical Zoom ของตัวกล้องหรือระยะถ่ายภาพที่ปรากฏปุ่มให้เห็นบนหน้าจอจะมีด้วยกันทั้งหมด 5 ระยะหลัก ซึ่งในบางระยะถ่ายเรายังสามารถแตะเลือกซ้ำ เพื่อขยับระยะถ่ายให้มากขึ้นอีกนิดได้ด้วยครับ 

ระยะถ่ายภาพ (Multi Focal)

  • ระยะ 0.6x (15 มม.)
  • ระยะ 1x (23 มม.) สามารถแตะซ้ำเพื่อปรับเป็นระยะ 1.2x (28 มม.) และ 1.5x (35 มม.) ได้
  • 2x (46 มม.) สามารถแตะซ้ำเพื่อปรับเป็นระยะ 50 มม. ได้
  • 3x (70 มม.) สามารถแตะซ้ำเพื่อปรับเป็นระยะ 6x (140 มม.) ได้
  • 10x (233 มม.) สามารถแตะซ้ำเพื่อปรับเป็นระยะ 15x (350 มม.) และ 20x (466 มม.)
  • ระยะถ่ายที่ไกลที่สุดที่ปรับได้ คือ 100x หรือ 2333 มม. (Digital Zoom)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดถ่ายภาพ

🔵 ระยะ 0.6x (15 มม.)

🔵 ระยะ 1x (23 มม.)

🔵 ระยะ 2x (46 มม.)

🔵 ระยะ 3x (70 มม.)

🔵 10x (233 มม.)

——————————–

สแนปช็อต (Snapshot) ถ่ายภาพเคลื่อนไหว ให้หยุดนิ่งไม่เบลอ

เป็นโหมดถ่ายภาพสำหรับใช้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ให้เหมือนหยุดนิ่ง โดยในโหมดนี้เราสามารถปรับระยะถ่ายได้ 2 ระยะคือ 1x และ 3x เหมาะสำหรับใช้ถ่ายสัตว์เลี้ยง คนกำลังออกกำลังกาย หรือรถแข่ง เป็นต้น

ตัวอย่างภาพถ่าย Snapshot

——————————–

โหมดมาโคร (Macro)

โหมดถ่ายภาพระยะใกล้ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “มาโคร” นั่นเองครับ เหมาะสำหรับใช้ถ่ายวัตถุที่เน้นนำเสนอรายละเอียดให้ชัด อย่าง ดอกไม้ ต้นไป สัตว์ตัวเล็ก ๆ เป็นต้น โดยความเก่งของ vivo X200 กับโหมดถ่ายภาพมาโครก็คือ การที่เราไม่ต้องขยับเข้าใกล้วัตถุหรือเป้าหมายของการถ่ายเหมือนการถ่ายมาโครแบบเดิม ๆ แต่ใช้การปรับระยะถ่ายให้เข้าใกล้วัตถุเป้าหมายแทน มีประโยชน์อย่างมากเมื่อเราต้องการถ่ายภาพสัตว์หรือแมลง ก็จะช่วยให้ได้ภาพถ่ายก่อนที่แมลงจะบินหนีไปนั่นเองครับ และอีกอย่างคือ มาโครของ vivo X200 เก็บได้คมมาก ๆ ลองไปชมตัวอย่างภาพถ่ายกัน

ตัวอย่างภาพถ่าย Macro

——————————–

โหมดพิเศษ : กล้องสตรีท (Street Photography)

โหมดกล้องสตรีทเป็นโหมดถ่ายภาพกึ่งแมนนวลที่ vivo ใส่เข้ามาให้เป็นลูกเล่นพิเศษในครั้งนี้ เอาใจคนรักการถ่ายแนวสตรีทหรือ Retro ย้อนยุค โดยโหมดนี้สามารถเข้าใช้งานได้ด้วยการปรับแถบไอคอนที่อยู่ใต้ปุ่มชัตเตอร์ขึ้น ก็จะเข้าสู่โหมดนี้ทันทีครับ

โดยภายในโหมดกล้องสตรีทเราจะสามารถเลือกสไตล์ภาพด้วยโทนสีพิเศษ 4 รูปแบบ คือ ZEISS (ธรรมชาติ), สดใส, ขาวดำ และมีมิติ พร้อมกับลายน้ำพิเศษที่ออกแบบมาให้เหมือนกับกล้องฟิล์ม นอกจากนี้ยังสามารถดูค่า DISP ของภาพขณะถ่ายได้ รวมถึงปรับระยะถ่ายและเลือกเอฟเฟ็กต์ Bokeh ของ ZEISS ได้ด้วย ใครที่ชอบใช้กล้องฟิล์มน่าจะชอบโหมดนี้เพราะให้อารมณ์ถ่ายภาพที่ใกล้เคียงกันพอสมควรครับ 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกล้องสตรีท

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ


กล้องหน้า 32MP พร้อม ZEISS Style Portrait เช่นกัน!

กล้องหน้าของ vivo X200 มาพร้อมกล้องถ่ายรูปความละเอียด 32MP (F2.0) ใช้เซนเซอร์ S5KD1SP03 มีโหมดถ่ายภาพสำหรับกล้องหน้าและโหมดถ่ายภาพบุคคลเด่น ๆ ใส่มาครบเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น ZEISS Portrait Style, Selfie Filter, Selfie Effect, Video Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ vivo X200

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ


Funtouch OS 15 (Android 15)

vivo X200 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 15 (Base on Android 15) โดยในเวอร์ชั่นนี้ทาง vivo มีการปรับแต่งอินเทอร์เฟซของ Funtouch OS ใหม่เล็กน้อยให้เรียบง่ายขึ้น ดูสบายตา ใช้งานง่าย และมีการนำภาพพื้นหลังที่สื่อถึงธรรมชาติมาใช้งาน รวมถึงเอฟเฟ็กต์เคลื่อนไหวบนหน้าจอให้เหมือนผิวน้ำ เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ผ่อนคลายให้กับเจ้าของ พร้อมกับเพิ่มลูกเล่นใหม่เข้ามา เช่น การนำ Gemini Assistant เข้ามาเป็นผู้ช่วย AI ช่วยทำงานและค้นหาข้อมูลบนเครื่องให้กับผู้ใช้งาน

ประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เฟซของ Funtouch OS ในภาพรวมสำหรับผม รู้สึกว่าเป็นอินเทอร์เฟซที่ใช้งานที่เรียบง่าย มีความเป็นมิตร ผู้ใช้งานใหม่หรือใครที่ย้ายมาจากแบรนด์อื่นสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ไม่ยาก และประเด็นที่หลายคนสงสัยคือ Ads Annoy ยืนยันว่าอินเทอร์เฟซของ Funtouch OS ไม่มีโฆษณาอะไรรบกวนขณะใช้งานแน่นอนครับ จะมีเพียงแค่แอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งมาให้ตอนต้นเท่านั้น ซึ่งเราสามารถเลือกลบออกไปได้เองและทำได้ไม่ยาก

อินเทอร์เฟซของ Funtouch OS 15 (Android 15)

Comes with AI

ในยุคที่ทุกอย่างคือ AI แบบนี้ แน่นอนว่า ทาง vivo ก็ไม่ยอมให้ลูกค้าของแบรนด์ต้องน้อยหน้าใคร ดังนั้น Funtouch OS 15 จึงมาพร้อมคุณสมบัติของ AI ด้วยเช่นกันครับ โดยจะใช้ LLM ร่วมกับ Gemini ของ Google ในการประมวลผลและทำงานต่าง ๆ บนตัวเครื่อง โดยคุณสมบัติ AI เด่น ๆ ที่พร้อมใช้งานบน Funtouch OS ตอนนี้ ประกอบด้วย

Circle to Search

“แค่วงก็พร้อมค้นหา” เป็นฟีเจอร์ที่ให้ AI ช่วยเสิร์ชข้อมูลที่เราต้องการให้ผ่านการออกคำสั่ง “วง” หรือ วาดวงกลมล้อมรอบเนื้อหาที่ต้องการเสิร์ช ช่วยลดความยุ่งยาก ขั้นตอนการหาข้อมูลให้สั้นและจบในทันที

การเรียกใช้งาน : ไปยังหน้าต่างหรือรูปภาพที่เราต้องการค้นหาข้อมูล > กดปุ่มโฮมค้าง > วงล้อมรอบวัตถุที่ต้องการค้นหา

——————————–

AI Note Assist

ฟีเจอร์นี้จำเป็นต้องใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่น “Note” ของ vivo เท่านั้น โดยจะเป็นใช้ AI ให้ช่วยจัดระเบียบโน้ต, สรุปข้อความหรือบทความที่เรา Copy มาวางในโน้ต หรือทำลิสต์สิ่งที่ตองทำ (to-do) ไปจนถึงการแปลภาษาก็สามารถทำได้ครบจบในที่เดียว

การเรียกใช้งาน : เข้าแอปพลิเคชั่น Note > ไปยังหน้าเนื้อหาที่เราต้องการใช้ AI  > แตะค้างที่พื้นที่ว่างในหน้าเนื้อหา หรือ คลุมข้อความที่ต้องการให้ AI ทำงานให้ > เลือกไอคอน AI บนแป้นพิมพ์ > เลือกคำสั่งที่ต้องการ

——————————–

AI Transcript Assist

เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ AI ที่จำเป็นต้องใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่น “Record” หรือ “บันทึกเสียง” ของ vivo ซึ่งฟีเจอร์นี้เราจะใช้งาน AI เพื่อถอดบทสนทนาจากการบันทึกให้ออกมาเป็นข้อความ และยังสามารถให้ AI ช่วยจัดระเบียบประเด็นสำคัญ สรุปเนื้อหา และค้นหาคำสำคัญได้ตามต้องการ

การเรียกใช้งาน : ไปยังไฟล์เสียงบันทึก > เลือก “ดูข้อความ” > ดูข้อมูลสรุป

——————————–

AI Erase

หนึ่งในสองฟีเจอร์ AI ด้านการถ่ายภาพ และเชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันพอสมควร เพราะทาง vivo ใส่มาให้ตั้งแต่ vivo V Series แล้ว โดยคุณสมบัติของฟีเจอร์นี้เราจะให้ AI ช่วยลบวัตถุหรือคนที่ไม่ต้องการในภาพถ่ายให้หายออกไปจากภาพ ซึ่งทำได้ค่อนข้างเนียนอยู่นะ โดยเราสามารถเลือกลบด้วยตนเองหรือให้ AI ลบให้อัตโนมัติก็ได้ รวมทั้งยังสามารถให้ AI ช่วยปรับแก้ไขภาพที่มีแสงสะท้อนรบกวนได้ด้วยเช่นกันครับ

การเรียกใช้งาน : เลือกภาพถ่ายที่ต้องการแก้ไข > เลือก “การลบด้วย AI ” > เลือกคำสั่งที่ต้องการ

——————————–

AI Ultra HD ปรับปรุงภาพถ่ายให้คมชัด HD ด้วย AI

เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ AI ที่ใช้กับภาพถ่าย โดยเราสามารถนำภาพที่ไม่คมชัด มีนอยส์รบกวนเยอะ หรือความละเอียดต่ำมาให้ AI ปรับปรุงคุณภาพของภาพถ่ายนั้น ๆ ให้กลับมาคมชัดใหม่ได้ทันที ฟีเจอร์นี้ส่วนมากจะนิยมนำไฟล์ภาพสมัยอดีตมาให้ AI ปรับปรุงให้ภาพคมชัดขึ้นเพื่อนำไปใช้งานต่อกันครับ

การเรียกใช้งาน : เลือกภาพถ่ายที่ต้องการแก้ไข > เลือก “ซ่อมแซม” > เลือกการปรับปรุงภาพด้วย AI

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ


— Performance | เร็ว แรง ครบเครื่องมาตรฐานเรือธง

ด้านประสิทธิภาพหรือการประมวลผลบน vivo X200 ทาง vivo ได้ร่วมมือกับทาง MediaTek นำเทคโนโลยี BlueChip ที่ร่วมกัน Co-Development ชิปประมวลผลตัวท็อปสุดอย่าง MediaTek Dimensity 9400 ให้ออกมาตรงตามสเปกของ vivo คือการที่ตัวชิปประมวผลสามารถทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ vivo ได้อย่างลงตัว ดังนั้นประสบการณ์การใช้งานทั้งในด้านการทำงาน เล่นเกม หรือใช้งานด้วยไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ บนตัวเครื่องจึงออกมาดีมาก ๆ การสลับแอปฯ ไปมาทำได้เร็วและต่อเนื่อง การตอบสนองต่อการสัมผัสหรือสั่งการก็ทำได้เรียลไทม์ดีที่เดียว

——————————–

คะแนนทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอปพลิเคชัน Benchmark

——————————–

การเล่นเกม

การเล่นเกมบน vivo X200 นั้นก็เป็นไปตามมาตรฐานเรือธงคือ สามารถเล่นได้ทุกเกมที่มีตอนนี้ ให้ประสบการณ์การเล่นที่สนุกได้อรรถรส รวมถึงการตอบสนองต่อการสัมผัสก็อยู่ในระดับสูงจะแตะหรือลากก็ทำได้ทันที รวมถึงการควบคุม FPS และความร้อนเมื่อเล่นเกมต่อเนื่องในจุดนี้ตัวชิป Dimensity 9400 ทำได้ดีขึ้นพอสมควรเมื่อเทียบกับตอนที่ผมทดสอบ vivo X100 Pro ที่ใช้ Dimensity 9300 ความร้อนที่เกิดขึ้นในระบบเมื่อผ่านการเล่นเกมติดต่อกัน ตัวเครื่องสามารถลดอุณหภูมิได้ไวขึ้นชัดเจน และในด้านของพลังงานก็ทำได้ขึ้นด้วยเช่นกัน

โดย vivo X200 จะใช้ GPU เป็น Arm 12-core Immortails-G925 ที่ทาง MediaTek เคลมว่าประมวลผลด้านกราฟิกดีขึ้นจากรุ่นก่อน 41% และยังรองรับเทคโนโลยี Ray Tracing ช่วยประหยัดพลังงาน และยกระดับการแสดงผลภาพกราฟิกระหว่างเล่นเกม ทำงานร่วมกับ RAM 12GB LPDDR5x สามารถขยายพื้นที่เพิ่มผ่านฟีเจอร์ Extended RAM สูงสุด 12GB และ ROM 256GB UFS 4.0 ดังนั้นการอ่าน-เขียนข้อมูลหรือการโหลดแผนที่ในเกม การโหลดฉากทำได้รวดเร็วแน่นอน และมีโหมด “Ultra Game Mode” เป็นซอฟต์แวร์ช่วยบริหารจัดการการใช้งานและทรัพยากรบนตัวเครื่องขณะเล่นเกมเหมือนเดิม

เกมที่ใช้ทดสอบในครั้งนี้ผมเลือกเป็นเกม RoV และ Yulgang มาทดสอบ โดยเลือกเป็นเกมแนว MOBA อย่าง ROV มาทดสอบเพื่อดูความเก่งในการควบคุม FPS เมื่อเข้าสู่ฉากแบทเทิล ส่วนอีกเกมเป็นเกมออนไลน์ Open world ที่ตั้งใจเอามาทดสอบความเก่งในการโหลดฉาก โหลดไอเท็ม และทดสอบเรื่องพลังงานและความร้อนเมื่อปล่อยตัวเก็บเลเวลต่อเนื่องนาน ๆ ซึ่งแน่นอนว่าผลการทดสอบกับ vivo X200 ก็ตามที่ได้เกริ่นไปช่วงต้นเลยครับ ทำได้ดีในทุกข้อสงสัยให้สอบผ่าน!

ทดสอบเล่นเกม RoV

ทดสอบเล่นเกม Yulgang

——————————–

แบตเตอรี่ 5800mAh BlueVolt

vivo X200 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดความจุมากถึง 5800mAh และยังรองรับชาร์จไว 90W ส่วนเหตุผลที่สามารถยัดแบตเตอรี่ขนาดความจุมากขนาดนี้ลงในบอดี้ขนาดพอดีได้ ก็ต้องยกเครดิตให้กับความเก่งของเทคโนโลยี BlueVolt ของ vivo เขาเลยครับ

เพราะเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมกับการนำแบตเตอรี่ Silicon Anode รุ่นที่ 3 มาเพิ่มอายุการใช้งานด้วยเทคโนโลยีแบต Semi-Solid เลยทำให้ตัวแบตเตอรี่ยังมีขนาดที่บาง แต่ยังมอบความจุที่มากขึ้นได้ และสามารถใช้งานได้แม้ในอุณหภูมิที่หนาวจัดสูงสุด -20°C ส่วนประสบการณ์เรื่องพลังงานหรือแบตเตอรี่ในหนึ่งวันส่วนตัวผมที่นำไปใช้ในหนึ่งวันก็รู้สึกว่า แบตเตอรี่ของ vivo X200 จะอยู่ได้นานขึ้นกว่าตอน X100 ไปประมาณ 1-2 ชั่วโมงเลยครับ เพราะตอนนั้นที่รีวิวประมาณหัวค่ำก็ขึ้นสีแดงแล้ว แต่สำหรับ X200 จะขึ้นแดงก็เกือบสามทุ่มสี่ทุ่มเลยทีเดียว

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ


บทสรุป

มาถึงบทสรุปของ vivo X200 ในมุมมองผมที่ได้ใช้งานน้องเขามาสัปดาห์หนึ่งเต็ม ๆ ก็เพียงพอที่จะบอกว่า vivo X200 เป็นสมาร์ตโฟน “Compact Flagship” ที่หลายคนเฝ้ารอคอยอยู่ ถึงแม้หน้าจออาจจะเกินนิยาม ‘Compact’ ไปสักหน่อย แต่พอได้ถือจับกลับรู้สึกกระชับมือ พอดีมือ ถือใช้งานมือเดียวได้คล่องใกล้เคียงกับสมาร์ตโฟนที่เป็น Compact จอขนาด 5 นิ้ว ++ เลยล่ะครับ สาว ๆ น่าจะชอบกันแน่นอน

พรีวิว vivo X200 สมาร์ตโฟน “Compact Flagship” ขนาดพอดีมือ ครบเครื่องเรื่องการถ่ายภาพ

นอกจากนี้ยังมีความครบเครื่องในฉบับของสมาร์ตโฟนเรือธง ทั้งการประสิทธิภาพการทำงาน อินเทอร์เฟซของซอฟต์แวร์ที่เป็นมิตร ปัญหาจุกจิกในการใช้งานต่ำมาก และแน่นอนเลยคือ ‘กล้องถ่ายรูป’ ที่ฝากชีวิตไว้ได้ สามารถพกไปทุกที่ถ่ายรูปได้ทุกโจทย์ในไลฟ์สไตล์เรียกว่าพกไปเครื่องเดียวเอาอยู่ แต่จะยกเว้นเรื่องเดียวที่น้องเขาอาจให้ไม่ได้นั่นคือ ถ้าใครชอบรับชมคอนเสิร์ตหรือกำลังมองหามือถือเอาไว้ซูมถ่ายงานคอนเสิร์ตอยู่ ผมแนะนำให้ขยับไปรุ่น vivo X200 Pro จะดีและจบกว่าครับ ถ้าทั้งหมดที่ผมร่ายมาตรงกับสิ่งที่คุณกำลังมองหาบนสมาร์ตโฟนสักเครื่องอยู่ ก็ใช่แล้วล่ะ! น้องคนนี้แหละคือสมาร์ตโฟนคู่ใจของคุณได้แน่นอนครับ

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ


ราคาและการวางจำหน่าย

vivo X200 Series สมาร์ตโฟนเรือธงทรงพลังรอบด้าน “ซูมชัด ทุกเรื่องราว” (ZEISS Image, Go Far) วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้

  • vivo X200 (12GB + 256GB) ราคา 29,999 บาท
  • vivo X200 Pro (16GB + 512GB) ราคา 39,999 บาท

พร้อมรับของสมนาคุณมากมาย ต่อที่ 1 vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี 1 ครั้ง (มูลค่า 10,999 บาท) ต่อที่ 2 Premium Case (มูลค่า 890 บาท) ต่อที่ 3 โปรเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่มจากราคาประเมินสูงสุด 8,000 บาท

เป็นเจ้าของได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

#vivoX200Series #ZEISSImageGoFar #ซูมชัดทุกเรื่องราว ]

ย้อนกลับไปเลือกหัวข้อ

—————
▶︎ อัปเดตข่าวสาร และบทความต่างๆ
คลิกดูต่อที่ insight-daily.com ได้เลย!

 

FIRST

MOBILE | CAR | TECH | MARKETING : อยู่ในวงการมือถือมานานเกิน 10 ปี แต่ก็ยังเป็นนักเขียนที่เป็น Introvert ชอบบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ผ่านบทความมากกว่าออกหน้ากล้อง เลยไม่ค่อยมีคอนเทนต์วิดีโอกับเขา

Leave a Reply