รีวิว vivo X300 สมาร์ตโฟนเรือธงขนาดคอมแพกต์ที่ครบเครื่อง ซูมไกลด้วยกล้อง ZEISS APO Telephoto
vivo X300 Series เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้มาด้วยกัน 2 โมเดล คือ vivo X300 Pro และ vivo X300 ที่เป็นรุ่น Standard ซึ่งเราได้มีโอกาส รีวิว vivo X300 น้องเล็กประจำซีรีส์ให้เพื่อน ๆ ชาว Insight Daily ได้อ่านกันครับ ถึงแม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้นหรือรุ่นมาตรฐาน แต่หลังจากที่ได้คลุกคลีถือใช้งานเป็นเครื่องหลักอยู่หลายวันสามารถบอกได้เต็มปากเลยว่า “เพียงพอ” กับการใช้งานในชีวิตประจำวันไปจนถึงไลฟ์สไตล์ออกทริปเที่ยวพักผ่อนตามวันหยุดแล้วล่ะครับ
vivo X300 มีขนาดบอดี้ที่กำลังพอดีมือมาก ๆ สามารถถือใช้งานหรือถ่ายรูปด้วยมือเดียวได้ง่ายและคล่อง และสีชมพู Halo Pink เป็นอะไรที่สวยและน่ารักตะมุตะมิเหลือเกิน ส่วนจุดเด่นหลักยังคงเป็นเรื่องของการถ่ายรูปที่ตอนนี้เป็นหนึ่งในแบรนด์แถวหน้าของวงการไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งครั้งนี้มากับกล้องหลักเซนเซอร์ HPB ความละเอียด 200MP เป็นเซนเซอร์กล้องตัวใหม่ที่ร่วมมือพัฒนากับทาง SAMSUNG และนำมาใช้บน vivo X300 Series เป็นครั้งแรก ทำงานร่วมกับเลนส์และการปรับจูน รวมถึงซอฟต์แวร์การถ่ายภาพจาก ZEISS แบรนด์เลนส์กล้องระดับโลก
เสริมความเก่งขึ้นอีกด้วยการติดตั้งชิปตัวใหม่ VS1 ที่จะเข้ามาช่วยเสริมพลังกับชิป VS3+ ในการประมวลผลด้านการถ่ายภาพ ด้านประสบการณ์การถ่ายรูปนั้นผมต้องขอชม vivo เลยว่า ‘ทำได้ดีขึ้นมาก’ เมื่อเทียบกับตอน vivo X200 ที่เคยรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นส่วนตัวก็คิดว่าดีแล้วนะ แต่ครั้งนี้คือเรารับรู้ได้เลยว่าดีขึ้น และสัมผัสได้ว่า vivo ใส่ใจในฟีดแบ็กและการพัฒนาด้านประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมากับ OS ตัวใหม่ที่แฟนคลับรวมถึงตัวผมเองเฝ้ารอกันมานาน ตอนนี้ก็ได้เวลาใช้งานกันเต็มที่สักทีกับ “OriginOS 6” ที่ผมเชื่อว่า ถ้าได้ลองใช้งานคุณจะหลงรักมือถือ vivo มากขึ้นจากเดิมแน่นอน! เกริ่นมาแค่นี้ก็น่าสนใจมาก ๆ แล้วใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าไปรู้จักสมาร์ตโฟนเรือธงที่ดีที่สุดจาก vivo พร้อมกันด้านล่างได้เลย!
เลือกอ่านตามหัวข้อ
1. Specification / รายละเอียดสเปก
2. Design / งานออกแบบ
3. Camera / กล้องถ่ายรูป
4. Performance / ประสิทธิภาพ
5. Operating System / ระบบปฏิบัติการ
6. Battery / แบตเตอรี่
7. Display / หน้าจอแสดงผล
8. Durability / ความทนทาน
9. Wrap-up / บทสรุป
10. Price & Availability / ราคาและการวางจำหน่าย
Specification
รายละเอียดสเปกของ vivo X300
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว ความละเอียด 2,640 x 1,216 พิกเซล (FHD+)
— Refresh Rate 120Hz
— ความสว่างสูงสุด 4500nits
— ความหนาแน่นพิกเซล 460PPI
— วัสดุเปล่งแสง Q10 plus (BOE) - CPU MediaTek Dimensity 9500
— กระบวนการผลิต 3nm.
— Octa-core Processor : 1 × C1-Ultra + 3 × C1-Premium + 4 × C1-Pro
— ความเร็ว 1.7GHz - GPU ARM G1 Ultra
- RAM 12GB / 16GB, LPDDR5x Ultra
— รองรับการขยาย RAM เพิ่ม 12GB - ROM 256GB / 512GB, UFS 4.1
- OriginOS 6 (Based on Android 16)
- กล้องหลัง Triple Camera
กล้องหลัก เซนเซอร์ SAMSUNG HPB ขนาด 1/1.4″ ความละเอียด 200MP (F1.68)
— โหมดถ่ายรูปที่ใช้ร่วม : Snapshot, Landscape & Night, Portrait, Photo, Video, Portrait Video, Pano, Ultra HD Document, Slo-mo, Stage, Time-lapse, Pro, Food, Street Photography
กล้องเลนส์มุมกว้าง เซนเซอร์ JN1 ขนาด 1/2.76″ ความละเอียด 50MP (F2.0)
— โหมดถ่ายรูปที่ใช้ร่วม : Pro, Time-lapse, Stage, Ultra HD Document, Video, Photo, Landscape & Night
กล้อง Telephoto เซนเซอร์ LYT602 ขนาด 1/1.95″ ความละเอียด 50MP (F2.57)
— โหมดถ่ายรูปใช้ร่วม : Snapshot, Landscape & Night, Portrait, Photo, Video, Ultra HD Document, Stage, Time-lapse, Pro - กล้องหน้า เซนเซอร์ JN1 ขนาด 1/2.76″ ความละเอียด 50MP (F2.0)
— โหมดถ่ายรูปกล้องหน้า : Portrait, Photo, Video, Portrait Video - รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย
— เครือข่าย 2G GSM : 850 / 900 / 1800 / 1900MHz
— เครือข่าย 3G WCDMA : B1 / B2 / B4 / B5 / B8
— เครือข่าย 4G FDD-LTE : B1 / B2 / B3 / B4 / B5 / B7 / B8 / B12 / B17 / B18 / B19 / B20 / B25 / B26 / B28 / B32 / B66
— เครือข่าย 4G TD-LTE : B38 / B39 / B40 / B41 / B42
— เครือข่าย 5G : n1 / n2 / n3 / n5 / n7 / n8 / n20 / n25 / n26 / n28 / n38 / n40 / n41 / n66 / n75 / n77 / n78
— Wi-Fi Display; 2 × 2 MIMO; MU-MIMO; Wi-Fi 6; Wi-Fi 7; 2.4G & 5G dual band; 2.4G & 6G dual band
— Bluetooth 6 - ซิมการ์ด 5G + 5G Dual SIM, Dual Standby
- GPS L1, L5
— BeiDou : B1C; B1I; B2a; B2b
— GLONASS : G1
— Galileo : E1; E5a; E5b
— QZSS : L1, L5
— NavIC : L1, L5
— GNSS Feature - พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C (3.2)
- สแกนนิ้ว 3D Ultrasonic Single Point
- ทนน้ำทนฝุ่น มาตรฐาน IP68 & IP69
- แบตเตอรี่ BlueVolt ขนาดความจุ 6040mAh
— รองรับชาร์จไว FlashCharge 90W (ใช้สาย)
— รองรับชาร์จไวแบบไร้สาย 40W - ตัวเลือกสี
— สีชมพู Halo Pink (ในบทความรีวิว)
— สีดำ Phantom Black (ในบทความรีวิว)
— สีม่วง Iris Purple
— อุปกรณ์ภายในกล่อง
- ตัวเครื่อง vivo X300
- คู่มือการใช้งานและการรับประกัน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- ฟิล์มกันรอยหน้าจอ (ติดตั้งมากับตัวเครื่อง)
- เคสป้องกันตัวเครื่อง (Silicone Case ตามสีตัวเครื่อง)
- อะแดปเตอร์ชาร์จ 90W
- สายชาร์จ USB-C
Design
ดีไซน์สไตล์มินิมอล เรียบง่าย แต่ทรงพลัง
vivo X300 มากับงานออกแบบที่ “เรียบง่าย แต่ทรงพลัง” เน้นวางเส้นสายและลวดลายที่สบายตาสไตล์มินิมอล และชูจุดเด่นด้วยการใช้งานที่สะดวกสบายและกระชับมือเมื่อถือใช้งานมือเดียว ด้วยดีไซน์ตัวเครื่องแบบสมมาตร บนขนาดตัวเครื่องที่กะทัดรัดด้วยขนาดหน้าจอ 6.31 นิ้ว ความละเอียด FHD+ พร้อมงานออกแบบขอบจอ (Bazel) ที่บางเฉียบเพียง 1.05 มิลลิเมตร ทำให้เราสามารถรับชมคอนเทนต์ได้เต็มจอมากขึ้น และวางเซนเซอร์กล้องหน้าความละเอียด 50MP ที่บริเวณกึ่งกลางจอด้านบน
งานออกแบบกล้องหลังด้านหลังตัวเครื่องของ vivo X300 ใช้ดีไซน์ Unibody 3D เทคโนโลยีการขึ้นรูปฝาหลังใหม่ ช่วยให้โมดูลกล้องที่เป็นทรงกลมถูกจัดวางได้แบบสมดุลเข้ากับฝาหลังที่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ ส่วนพื้นผิวฝาหลังใช้เทคนิค Coral Velvet Glass ให้สัมผัสเนียนนุ่มยิ่งขึ้น พร้อมป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือ
โดยรอบนี้เราได้สีตัวเครื่องของ vivo X300 มารีวิวด้วยกัน 2 สี คือ สีชมพู Halo Pink และสีดำ Phantom Black เป็นสองสีที่สื่อตัวตนไปกันคนละด้านพอสมควร ใครชอบความคลาสสิกนุ่มลึกก็ไปสีดำ Phantom Black ได้เลย แต่สำหรับผมสีชมพู Halo Pink เมื่ออยู่กับตัวเครื่องขนาดกะทัดรัดแบบ vivo X300 เป็นอะไรที่ลงตัว สวยและน่ารักมาก ๆ ครับ
vivo X300 มีสีตัวเครื่องให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ
- Halo Pink สีชมพูประกายระเรื่อแบบฮาโล ให้ความรู้สึกสดใสอย่างมีเสน่ห์ พร้อมเสริมลุคแฟชั่นสุดชิค
- Iris Purple สีม่วงละมุน แต่โดดเด่นด้วยเฉดสีดอกไอริส เผยเสน่ห์สง่างามอย่างมีสไตล์
- Phantom Black สีดำคลาสสิก สื่อถึงความมั่นคง น่าเชื่อถือ และหรูหราอย่างมีระดับ
ตำแหน่งปุ่มกดต่าง ๆ ถูกนำมารวมไปที่ด้านขวาของตัวเครื่องทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย ปุ่มเปิด-ปิดตัวเครื่อง (Power) และปุ่มปรับระดับเสียงเพิ่ม-ลด (Volume)
ด้านบนจะมีลำโพงเสียง ทำงานร่วมกับลำโพงด้านล่างของเครื่องแบบสเตอริโอ ให้เสียงที่ดัง มีมิติ และรู้สึกได้เลยว่าลำโพงให้เสียงที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อน ในขณะที่ด้านล่างตัวเครื่องจะมีพอร์ต USB-C และช่องถาดซิมการ์ด (อาจจะต้องระวังเรื่องการจิ้มรูถาดซิมการ์ดกันสักหน่อยนะครับ เพราะมีรูไมค์อยู่ใกล้ ๆ กันเลย)
Camera
กล้องถ่ายรูป 200MP ZEISS & ZEISS APO Sonnar Telephoto
vivo X300 ครั้งนี้มากับกล้องถ่ายรูป Triple Camera ที่ประกอบด้วย กล้องหลักเซนเซอร์ HPB ความละเอียด 200MP ขนาด 1/1.4 นิ้ว มาตรฐานการกันสั่น OIS CIPA 4.5 มีทางยาวโฟกัส 23mm. และมีค่ารูรับแสง f/1.68 ทำงานร่วมกับกล้องอีก 2 ตัว คือ กล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide) เซนเซอร์ JN1 ความละเอียด 50MP ให้มุมมองกว้าง 119 องศา มีทางยาวโฟกัส 15mm. และมีค่ารูรับแสง f/2.0 และกล้อง ZEISS APO Telephoto ความละเอียด 50MP เซนเซอร์ SONY LYT602 ขนาด 1/1.95 นิ้ว มีกันสั่น OIS ในตัวมาตรฐาน CIPA 4.5 มีทางยาวโฟกัส 70mm. และมีค่ารูรับแสง f/2.57
ที่พิเศษกว่ารุ่นก่อน คือการที่ vivo ได้ติดตั้งไฟแฟลชใหม่ “Adaptive Zoom Flash” ไฟแฟลช LED ที่มากับระบบแฟลชอัจฉริยะสามารถปรับมุมและความเข้มของแสงตามระยะการถ่ายภาพของกล้องทั้ง 3 ตัวได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะรองรับระบบไฟเสริมแบบฮาร์ดแวร์สําหรับเลนส์สองระยะ (23 มม. และ 50 มม.) เพื่อให้แสงที่ออกมาช่วยนั้นสวยสมดุลในทุกช็อต ในขณะที่กล้องหน้ามากับกล้องเลนส์มุมกว้าง ZEISS Wide-angle ใช้เซนเซอร์ JN1 ความละเอียด 50MP มีค่ารูรับแสง f/2.0 ให้มุมมองกว้าง 92 องศา
เสริมข้อมูลสักนิด ตามที่เคยเล่าใน Insight Talk : เรื่องเล่าหลังงาน Blue Talk ไปแล้วว่ารอบนี้ทาง vivo ได้มีการปรับอัลกอริทึมการถ่ายภาพใหม่ ซึ่งเน้นภาพถ่ายให้มีรายละเอียด สี แสง และเงาที่สมจริงขึ้น (Realism) จากรุ่นก่อน ดังนั้น ถ้าหากใครยังคงชื่นชอบโทนภาพหรือสีสันภาพเหมือนตอน vivo X200 ผมแนะนำให้เลือกโปรไฟล์สีจากเดิม คือ “ZEISS” ที่เป็นค่า Default ตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรกให้เป็น “Vivid” แทน แค่นี้ก็จะได้โทนสีภาพแบบเดิมเรียบร้อยครับ
— 200MP Ultra-high Resolution ความละเอียดสูงพิเศษ 200MP คมชัดเหนือระดับ
กล้องหลักของ vivo X300 มากับเซนเซอร์ความละเอียด 200MP ดังนั้นเราจึงสามารถถ่ายภาพด้วยความละเอียดสูงสุด 200MP ซึ่งเป็นความละเอียดภาพสูงสุดของเซนเซอร์ได้ด้วย และที่สำคัญคือ รอ Image Processing ไม่นาน ประมาณ 30-40 วินาที เราก็จะได้ไฟล์รูปความละเอียดสูงออกมา
นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกลดความละเอียดลงมาที่ 50MP ได้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ความละเอียดจะลดลงมา แต่คุณภาพและความคมชัดยังคงอยู่ในระดับ High-resolution เหมือนเดิมครับ ข้อดีคือขนาดไฟล์ที่ได้จะลดลงตามด้วยเช่นกัน โหมดนี้จะเหมาะกับการถ่ายภาพที่เราต้องการภาพนั้นไว้ใช้งานต่อหรือเป็นโมเมนต์สำคัญที่อยากเก็บรายละเอียด ณ ตอนนั้นไว้ให้ครบถ้วนใกล้เคียงกับสิ่งที่เห็นมากที่สุด
ตัวอย่างภาพถ่าย 200MP Ultra-high Resolution
— AI Multi-crop ในช็อตเดียว คนและวิวสวยครบทุกมุม (AI Storyboard)
เป็นลูกเล่นใหม่ที่พึ่งถูกเพิ่มเข้ามาใน vivo X300 Series เป็นครั้งแรก กับการใช้ประโยชน์ของภาพถ่ายความละเอียดสูงในโหมดถ่ายภาพ 200MP Ultra-high Resolution ที่เก็บรายละเอียดทั้งภาพที่คมชัดระดับ Ultra-high Res อยู่แล้ว มาแบ่งสัดส่วนออกด้วย AI เพื่อสื่ออารมณ์ของภาพให้ลึกขึ้น อินกับอารมณ์ในโมเมนต์นั้น ๆ ตามภาพได้มากขึ้น ซึ่งปกติเทคนิคการแบ่งภาพออกเป็นช่องแบบนี้ จะนิยมแบ่งภาพออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะไกล ระยะกลาง และระยะใกล้ เพื่อให้คนที่รับชมภาพถ่ายของเรารู้สึกอินและสื่อสารอารมณ์ของภาพได้ดีขึ้น แต่ในโหมดนี้เราสามารถเลือกแบ่งภาพออกเป็นช่องได้ทั้งแบบ 3 ช่อง และ 2 ช่อง ใครมีอะไรก็จัดได้เลย
วิธีใช้งาน : เปิดโหมด 200MP (ไอคอนด้านบน) > แตะที่ไอคอนกรอบด้านขวาล่าง > เลือกเฟรมที่ต้องการ
และเรายังสามารถสร้างชิ้นงาน AI Storyboard ได้อีกหนึ่งวิธี ด้วยการเลือกรูปถ่ายที่ต้องการจากอัลบั้ม (ไม่จำเป็นต้องถ่ายด้วยโหมด 200MP หรือ 50MP ก็ได้) > เลือกแก้ไข > การรีทัชด้วย AI > สตอรี่บอร์ด AI
จากนั้น AI จะทำการประมวลผล แล้วแบ่งภาพออกเป็นช่องทั้งแบบ 3 ช่อง และ 2 ช่อง ซึ่งก็แล้วแต่ AI จะประมวลผลออกมา วีธีนี้สามารถเลือกเปลี่ยนจำนวนช่องและอัตราส่วนภาพ แก้ไขภาพในแต่ละช่องด้วยการขยับซ้ายขวา และซูมเข้าออก และเลือกฟิลเตอร์เพื่อปรับสีภาพได้ด้วย
ตัวอย่างภาพ AI Multi-crop (AI Storyboard)
— ครบทุกกล้อง พร้อมพอร์ตเทรต ZEISS ชัดทุกระยะ
vivo X300 ยังคงมากับฟีเจอร์ถ่ายภาพ “ZEISS Style Portrait” โหมดถ่ายภาพสำหรับถ่ายภาพคนโดยเฉพาะรองรับการถ่ายพอร์ตเทรตครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่กว้างจนถึง Close up ใบหน้าเลยทีเดียว โดยการใช้งานฟีเจอร์ของ ZEISS Style Portrait จะเหมือนกับตอน vivo X200 เลย คือ เราสามารถเลือกใช้เพื่อถ่ายภาพบุคคลได้ด้วยกันสองรูปแบบ
Preset Portrait จะเป็นพรีเซ็ตที่ทาง vivo กับ ZEISS ร่วมกับออกแบบมาพร้อมใช้งานหรือสำเร็จรูปตามระยะการถ่ายภาพพอร์ตเทรตจาก ZEISS เรียบร้อยแล้ว เราแค่เลือกระยะถ่ายที่ต้องการแล้วกดถ่ายแค่นั้นครับ ซึ่งตัวซอฟต์แวร์กล้องจะทำการปรับรูปแบบ Bokeh สไตล์ ZEISS ให้อัตโนมัติตามระยะถ่ายภาพที่เราเลือก ซึ่งระยะถ่ายที่เราเลือกได้จากฟีเจอร์นี้จะประกอบด้วยระยะ 23มม. (1x), 35มม. (1.5x), 50มม. (2.2x), 85มม. (3.6x) และ 100มม. (4.3x)
ตัวอย่างภาพถ่าย ZEISS Style Portrait (Presets)
Manual การปรับค่าการถ่ายพอร์ตเทตด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นโทนสีของภาพ, ฟีเจอร์บิ้วตี้, ระยะการถ่าย, รูปแบบ ZEISS Bokeh ซึ่งรูปแบบ Bokeh ของ ZEISS จะมีด้วยกันทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ
- ZEISS Biotar (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Biotar 1.5/75)
โบเก้พอร์ตเทรตแบบหมุนวน แสงแฟร์รูปทรงมะกอก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ ZEISS Biotar Lens ของ ZEISS - ZEISS Sonnar (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Sonnar 2.8/180)
โบเก้แบบนุ่มละมุนชวนฝัน เหมือนใช้เลนส์ ZEISS Sonnar 180mm. ระยะโฟกัส F2.8 - ZEISS Distagon (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Distagon 2.0/28)
โบเก้รูปทรงหกเหลี่ยม รูรับแสง 2.0/28″ ให้ภาพพอร์ตเทรตที่คมชัดทั้งในส่วนที่โฟกัสและจุดที่เบลอละลาย - ZEISS Planar (แรงบันดาลใจจาก ZEISS Planar 2.8/80)
โบเก้แบบคลาสสิกดั่งเดิม ขอบแสงแฟร์คมชัด เหมือนใช้เลนส์รูรับแสง 2.0/80″ - ZEISS Cinematic
ถ่ายภาพพอร์ตเทรตในสไตล์ภาพยนตร์ ด้วยอัตราส่วนภาพ 2.39:1 สร้างแสงแฟลร์วงรีและเอฟเฟกต์เส้นแสงสีน้ำเงิน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้ไฟถนนในเวลากลางคืน - ZEISS Cine-flare
ขณะถ่ายภาพท่ามกลางแสงจ้า จะทำให้เกิดแสงแฟลร์เหมือนในภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพถ่าย ZEISS Style Portrait (Manual)
— Multi-style Imaging New Cold Film & Fujifilm-Inspired Video Styles
ครั้งนี้โหมดกล้องฟิล์มเดิมที่คุ้นเคยจาก vivo X200 series ได้ถูกอัปเกรดอินเทอร์เฟซและเติมฟิลเตอร์ฟิล์มเข้ามาใหม่ รวมทั้งยังเปิดให้เราสามารถปรับการตั้งค่าการถ่ายภาพเพิ่มเติมได้อย่างอิสระด้วย เช่น การปรับอัตราส่วนของภาพที่ต้องการ, การปรับสไตล์ของลายน้ำให้ถูกใจคนถ่ายขึ้นด้วยฟอนต์หรือการจัดวาง, ปรับค่าโฟกัสภาพสูงสุด หรือการเลือกรูปแบบของ ZEISS Bokeh ส่วนฟิลเตอร์ที่ให้จะเป็นสไตล์กล้องฟิล์มหรือเรโทรทั้งหมด มีด้วยกันทั้งหมด 6 รูปแบบสี คือ Texture, Negative, Vivid, ZEISS, B/W, Film และ VB. Blue
วิธีใช้งาน : สไลด์เมนูขึ้นจากใต้ปุ่มชัตเตอร์กล้อง
ตัวอย่างภาพถ่าย Multi-style Film
— 4K 60FPS Portrait Video
ด้านการงานภาพวิดีโอรอบนี้ทาง vivo เน้นเป็นพิเศษชนิดเข้มข้นเลยก็ได้นะ! โดยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและผลงานการถ่ายวิดีโอขึ้นมาจาก vivo X200 Series ขึ้นเยอะเลยทีเดียวครับ รวมทั้งยังเพิ่มโหมด VDO Portrait สำหรับงานถ่ายวิดีโอบุคคลโดยเฉพาะแยกออกมา Stand Alone ให้ใช้งานจากหน้าเมนูกล้องได้ทันที ในโหมด VDO Portrait สามารถถ่ายวิดีโอบนความละเอียดสูงสุด 4K/60fps พร้อมกับสามารถเลือกปรับ ZEISS Bokeh แบบ Cinematic ได้
และรองรับการถ่ายวิดีโอ 3 ระยะ คือ 1x, 2x และ 3x ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรต ข้อดีของการถ่ายวิดีโอบุคคลด้วยโหมดนี้คุณจะได้งานวิดีโอพอร์ตเทรตที่สวย เหมาะสม และมีมิติ หรือจะบอกว่าโหมดนี้เป็นพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายวิดีโอบุคคลก็ได้ครับ เหลือแค่กดและใช้เทคนิคมุมกล้องตามไอเดียของแต่ละคนเท่านั้น เพียงแต่! เมื่อกดถ่ายวิดีโอจากโหมดนี้จะไม่สามารถปรับระยะเพิ่มเติมขณะถ่ายได้อีกนะครับ
— vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender ยกระดับมาตรฐานการซูมของสมาร์ตโฟน ก้าวข้ามขีดจํากัดของอุตสาหกรรมกล้องมือถือ
ครั้งนี้ vivo X300 มากับของเล่น “vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender” เลนส์กล้องเสริมที่หลายคนอยากทาง vivo นำเข้ามาตั้งแต่รุ่นก่อน ครั้งนี้ทาง vivo ก็จัดให้เรียบร้อยตามคำเรียกร้อง ใครสายคอนฯ หรือสายทำคอนเทนต์ด้วยภาพและวิดีโอไม่ควรพลาดทั้งปวง ส่วนสายใช้งานไลฟ์สไตล์ทั่วไปก็แนะนำว่า แล้วแต่ความชอบและงบได้เลยครับ เพราะด้วยความสามารถพื้นฐานของ vivo X300 ก็รองรับการซูมถ่ายระยะไกลในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าใช้ถ่ายภาพตามปกติก็ตัวกล้องก็เทพพออยู่แล้วล่ะครับ
vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender เป็นเลนส์กล้องเสริมที่ช่วยเพิ่มพลังซูมขั้นสุด ด้วยกล้องเทเลโฟโต้ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ระยะ 200 มม. ทำให้เราสามารถขยับเข้าใกล้วัตถุที่ต้องการได้มากขึ้นเยอะจากระยะ Optical Zoom ของกล้อง vivo X300 ช่วยมอบรายละเอียดคมชัดระดับโปรในทุกระยะ สามารถปรับโหมดการถ่ายได้หลากหลายทั้ง โหมดเวที ทิวทัศน์ พอร์ตเทรต และวิดีโอ เพื่อประสบการณ์การถ่ายภาพที่เหนือชั้นขึ้นจากพื้นฐาน
*เนื่องจากตัวเลนส์กล้องเสริมจะเข้ามาช่วงหลัง ดังนั้นจึงขออนุญาตอัปเดตตัวอย่างภาพถ่ายและคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องให้ชมกันในภายหลังนะครับ
— Stage Mode 2.0 แค่คลิก ซูมชิดติดเวที
โหมดถ่ายภาพสำหรับสายคอนเสิร์ต! โหมดถ่ายภาพ Stage จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการถ่ายภาพเทเลโฟโต้บนเวทีให้คมชัดและน่าสนใจขึ้น ด้วยซอฟต์แวร์กล้องและเทคโนโลยี Telephoto Magic 2.0 และ GTR 3.0 ของ vivo จะช่วยปรับการตั้งค่าของภาพถ่ายให้เหมาะสมกับการถ่ายภาพบนเวทีระยะไกล ทำให้ภาพพอร์ตเทรตของศิลปินที่เราชื่นชอบมีความชัดใสยิ่งขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่าย Stage Mode
— Concert Dual-view
เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ผมชอบเลยทีเดียวกับการบันทึกภาพวิดีโอจากกล้องหลายตัวพร้อมกัน ถึงแม้เราจะเห็นฟีเจอร์นี้บนสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์มานานมาก ๆ แล้ว แต่ vivo ก็เลือกที่จะหยิบมาปัดฝุ่นใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า ที่ vivo เองก็ทราบว่าลูกค้าชื่นชอบที่จะนำสมาร์ตโฟน vivo X Series ไปถ่ายคอนเสิร์ตกัน ดังนั้นจึงนำฟีเจอร์ Dual-view ไปใส่ไว้ใน Stage Mode เพื่อให้ผู้ใช้สามารถบันทึกวิดีโอคอนเสิร์ตของศิลปินที่ชอบได้หลายมุมมองพร้อมกันด้วยการบันทึกเพียงครั้งเดียว ลดโอกาสพลาดช็อตสำคัญที่อาจเกิดขึ้นได้ตอนเราสลับระยะหรือหยุดถ่าย
ซึ่งฟีเจอร์นี้จะรองรับรูปแบบการถ่ายวิดีโอพร้อมกันได้ทั้งแบบกล้องหน้า + กล้องหลัง หรือกล้องหลัง + กล้องหลัง และยังสามารถบันทึกไฟล์เป็นแบบบันทึกไฟล์รวมกัน และบันทึกแยกไฟล์วิดีโอของแต่ละกันออกเป็นคนละไฟล์ก็ได้เช่นกัน โดย vivo X300 จะรองรับการบันทึกวิดีโอจากกล้องพร้อมกันได้เพียงสองกล้องเท่านั้นครับ
— คมชัดมากยิ่งขึ้น ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 4K 60FPS รองรับ Dolby Vision
ถ้าหากใครได้สั่งจองตัวเครื่องไปพร้อมกับ vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender สามารถหยิบ vivo X300 ขึ้นมาถ่ายวิดีโอระยะไกลผ่านเลนส์เสริม vivo ZEISS ได้เลยครับ นอกจากจะบันทึกวิดีโอด้วยความละเอียดสูง 4K 60fps แล้วไฟล์วิดีโอยังรองรับมาตรฐานสี Dolby Vision ด้วย ทำให้เราได้วิดีโอของศิลปินที่คมชัด สีสันมาเต็มใกล้เคียงกับที่ตาเราเห็น เอาไว้ดูย้อนหลังได้ฟินแน่นอน ซึ่งต้องขออภัยจริง ๆ ที่ผมไม่มีตัวอย่างวิดีโอมาให้ชมและพิจารณากัน เนื่องจากตัวเลนส์เสริมเข้ามาไม่ทันตอนที่กำลังทำบทความรีวิวนี้อยู่
— AI Landscape Master มีมากถึง 16 แบบ
อีกหนึ่งฟีเจอร์ AI ที่ขับเคลื่อนด้วย AIGC เปลี่ยนภาพในวันที่อากาศไม่ดีให้สวยด้วยฟิลเตอร์สภาพอากาศ (Weather Filters) รองรับสไตล์ภาพที่หลากหลาย พร้อมโหมดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ช่วยให้ถ่ายสนุกได้ในทุกสภาพแวดล้อม รองรับการใช้งานร่วมกับโหมดพอร์ตเทรตและทิวทัศน์ มีให้เลือกใช้ทั้งหมด 16 แบบ
— Live Photo & Live Photo AI Erase
ฟีเจอร์ LIVE Photo ที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรหรือแทบจะไม่ได้ใช้เลย ครั้งนี้ vivo จับฟีเจอร์นี้มายกเครื่องทำให้สนุกและหลากหลายมากขึ้น ด้วยการเติมเอฟเฟกต์ “Zoom” เข้ามาให้ Live photo ซึ่งเป็นลูกเล่นคล้ายกับฟีเจอร์บนกล้องแอคชั่นแคมหรืออุปกรณ์กิมบอลเลยล่ะครับ โดยจะมีรูปแบบการซูมให้เราเลือกใช้ด้วยกันสองอย่าง คือ
- Live Photo with Zoom Effect จะเป็นการสร้างภาพเคลื่อนไหวพร้อมเอฟเฟกต์ ซูมเข้า-ออก ได้ในคลิปเดียว หรือเอาง่าย ๆ คือการดึงภาพจากระยะไกลมาใกล้เหมือนกับการเปลี่ยนระยะ
- Live Photo Dolly Zoom สร้างภาพเคลื่อนไหวแบบซูมดึงระยะให้ฉากดูมีมิติและโดดเด่นยิ่งขึ้น หรือก็คือการเล่นระยะกับพื้นที่ด้านหลังของวัตถุหรือบุคคลในภาพจะทำให้ดูมีมิติขึ้น
และอีกหนึ่งฟีเจอร์เสริม Live Photo AI Erase เป็นฟีเจอร์ลบคนหรือสิ่งรบกวนใน Live Photo ได้ง่าย ๆ เพียงแค่เลือกวงกลมรอบวัตถุที่ไม่ต้องการ ระบบจะลบจากทุกเฟรมอัตโนมัติ โดยที่ผลลัพธ์ภาพยังคงเป็น Live Photo เหมือนเดิม นอกจากนี้ทาง vivo ยังดึงฟีเจอร์ AI Erase ไปใส่ไว้ให้อัตโนมัติในโหมด Portrait ซึ่งถ้าหากเราเลือกใช้ AI Visual ในโหมดพอร์ตเทรตตัว AI จะทำการลบคนหรือวัตถุที่ไม่เกี่ยวข้องในภาพให้ทันที (สามารถเลือกเปิด-ปิดได้)
— All-New Variable Zoom Flash
อีกหนึ่งทีเด็ดที่ทำให้ vivo X300 โดดเด่นไม่มีใครเหมือน ณ ตอนนี้ ก็คือการมาพร้อมแฟลชคู่แบบ Diffuser (23 มม.) และ Converger (50 มม.) ซึ่งตัวไฟแฟลช LED สามารถจะปรับระยะความกว้างและความแรงของแสงตามระยะการถ่ายภาพได้ ทำให้เราจะได้แสงไฟที่นุ่มและแม่นยํากว่ากล้องมือถือปกติ รองรับทุกสถานการณ์การถ่ายภาพได้มากขึ้นเยอะเลยล่ะครับ
ตัวอย่างภาพถ่าย Zoom Flash
———————————————————
ตัวอย่างภาพถ่ายเพิ่มเติม
Performance
ประสิทธิภาพการประมวลผระดับท็อป MediaTek Dimensity 9500
ด้านประสิทธิภาพการประมวลผลหรือการทำงานของ vivo X300 ถึงแม้จะเป็นรุ่นน้อง แต่ vivo ก็เลือกติดตั้งชิปเซ็ตแบบเดียวกับ vivo X300 Pro มาให้ ดังนั้นการทำงานและการประมวลผลอยู่ในระดับสูงสุดหรือระดับสมาร์ตโฟนเรือธง คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรมากมาย เพราะนี่คือชิปที่แรงที่สุดตัวหนึ่งของสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์แล้วล่ะครับ
โดยครั้งนี้ vivo เลือกใช้ชิปเซ็ตระดับท็อปสุดจาก MediaTek อย่าง Dimensity 9500 ชิปประมวลผลแบบ Octa-core Processor มี NPU ในตัว ซึ่งตัวชิปจะแบ่ง Core ออกเป็น All-Big-Core CPU ที่แรงขึ้น +24% เมื่อประมวลผลแบบ Single-Core และแรงขึ้น +10% เมื่อประมวลผลแบบ Multi-Core มี GPU เป็น ARM Mali G1 Ultra MC12 เป็นชิปประมวลผลกราฟิกให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น 33% และประหยัดพลังงานมากขึ้น 42% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดยตัวชิปเมื่อรันทดสอบด้วยโปรแกรมทดสอบ Antutu Benchmark สามารถทำคะแนนรวมได้ประมาณ 3M คะแนน ขึ้นไป
นอกจากนี้ ทาง vivo ยังได้ร่วมมือกับ MediaTek ในการพัฒนาตัวชิป Dimensity 9500 ให้รองรับและมีความเข้ากันกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ vivo เป็นพิเศษ โดยเฉพาะด้านการถ่ายภาพและวิดีโอที่มีการร่วมกันปรับปรุงประสิทธิภาพของชิป ISP บน Dimensity 9500 ให้เข้ากับชิปสองตัวของ vivo ที่ใส่เข้ามาช่วยประมวลผลด้านการถ่ายภาพและวิดีโอคือ ชิป Imaging Chip V3+ และชิป VS1 ทั้งสองชิปจะเข้ามาช่วยประมวลผล โดยใช้พลังงานตํ่าและลดภาระการทำงานของชิปเซ็ตหลัก และได้คุณสมบัติการถ่ายวิดีโอที่ไม่เหมือนใครเพิ่มเติมเข้ามา เช่น
- 4K 60FPS CinematicPortrait Video ครั้งแรกในอุตสาหกรรม วิดีโอ พอร์ตเทรตระดับภาพยนตร์
- 4K Cinematic Portrait with Bokeh & Style เอฟเฟกต์โบเก้และโทนภาพระดับมืออาชีพ
- Ultra-High-Quality Slow Motion สโลว์โมชันคุณภาพสูง คมชัดทุกเฟรม
ผลคะแนนการทดสอบประสิทธิภาพด้วย Benchmark
Operating System
ประสบการณ์ความลื่นไหลเหนือระดับ OriginOS 6
ด้านซอฟต์แวร์ครั้งนี้เราจะได้ใช้ “OriginOS 6” (Base on Android 16) เป็นซอฟต์แวร์ OS บนสมาร์ตโฟน vivo กันเป็นครั้งแรก และตัวผมเองที่ได้รีวิวมือถือ vivo มานานหลายปี ก็จะได้รีวิวซอฟต์แวร์ที่ไม่ใช่ Funtouch OS เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกันครับ ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นและดีใจมาก ๆ ตอนที่ได้เปิดเครื่องขึ้นมา
สำหรับ OriginOS 6 เป็นซอฟต์แวร์ OS ที่โดดเด่นหรือเก่งในด้านบริหารจัดการทรัพยากรบนตัวเครื่องมาก ๆ จนได้รับคำชมจากผู้ใช้งานหลายประเทศที่ได้ลองสัมผัสว่า “ลื่นติดนิ้ว สมูธแบบเป็นธรรมชาติ” ซึ่งในการพัฒนาทาง vivo ได้ใช้ 3 เสาหลัก หรือ 3 Core Pillars ในการพัฒนา ประกอบด้วย การประมวลผล (Computing), หน่วยความจำ (Storage) และจอแสดงผล (Display ) โดยที่หลักการหลักคือ การที่ทั้งสามเสานั้น ตัวระบบจะรู้ลำดับขั้นตอนการทำงานว่าขั้นตอนหรือการประมวลผลอะไรสำคัญมากกว่ากัน จึงลดการเกิดปัญหาคอขวดที่มักเกิดขึ้นกับระบบของ Android ที่เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Multi-task และทำให้ OriginOS 6 ของ vivo มีความเก่งในด้านบริหารจัดการทรัพยากรบนตัวเครื่องนั่นเองครับ และเราจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีในด้านต่าง ๆ
— Smooth Origin ลื่นไหล เป็นธรรมชาติ
OriginOS มาพร้อมการออกแบบการเคลื่อนไหวแบบใหม่ ที่ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี Spring Animation และ One-shot ที่ทําให้การใช้งานดูต่อเนื่องสมจริงทุกการสัมผัสตลอดการใช้งาน
— Origin Design ดีไซน์มินิมอล สบายตา
ระบบดีไซน์ของ “Origin” ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดจากภายในสู่ภายนอก ทั้งการจัดหน้าจอแบบแบ่งส่วน การแสดงผลด้วยกราฟข้อมูล และชุดไอคอนที่ใช้งานได้กับทุกรุ่น พร้อมปรับเอฟเฟกต์ของวัสดุและแสงให้สมจริง สวยงามยิ่งขึ้น ทำให้เรารู้สึกสบายตาและอินไปกับคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งขึ้นเมื่อต้องใช้งาน
— Flip Cards คงความซนไว้เบา ๆ ด้วยลูกเล่นพลิกการ์ดบนหน้าจอ
ฟีเจอร์ Flip Cards เป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากครับ โดยฟีเจอร์นี้ได้แรงบันดาลใจจากของเล่นเลนติคิวลาร์ สามารถแสดงภาพแตกต่างกันตามมุมเมื่อเอียงอุปกรณ์ รองรับทั้ง ภาพนิ่ง, Live Photos และวิดีโอ มอบความสนุกและความสร้างสรรค์ในการใช้งาน ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Gyroscope ให้ผู้ใช้สลับภาพได้หลายทิศทาง ยกระดับประสบการณ์หน้าจอให้เหนือกว่าการแสดงภาพนิ่งทั่วไป
— Origin Island แสดงการแจ้งเตือนที่เข้ากับเทรนด์และใช้งาน Multi-task ในตัว
Origin Island แถบการแจ้งเตือนข้อความต่าง ๆ ด้านบนหน้าจอ ซึ่งแสดงผลคล้ายกับเกาะตามชื่อนั่นแหละครับ ตัวระบบจะขับเคลื่อนด้วยกรอบการทํางานที่รับรู้บริบทของเนื้อหาภายในอุปกรณ์ (On-device Content-aware Framework) ผสานกับท่าทางสัมผัสที่ใช้งานง่าย เช่น การคัดลอกและลากเนื้อหาบนหน้าจอ หรือการลากแอปฯ ไปยังแอปฯ อีกแอปฯ หนึ่งเพื่อใช้งานร่วมกันผ่านแถบแจ้งเตือน Origin Island เป็นต้น ถูกออกแบบมาเพื่อมอบคําแนะนําอัจฉริยะและทันเวลาแก่ผู้ใช้พร้อมทางลัดที่ช่วยให้การทํางานสะดวกยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้จะสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสถานะระบบและข้อมูลสําคัญได้อย่างถูกต้อง ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ
— Office Kit เชื่อมต่อเข้ากับโลกใบอื่นได้อย่างไร้รอยต่อ
นับจากนี้สำหรับใครที่ใช้สมาร์ตโฟน vivo หรือ vivo X300 กับอุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ Android ด้วยกัน การมาของ OriginOS 6 จะทะลายข้อจำกัดในการรับ-ส่งไฟล์กับอุปกรณ์อื่น ๆ ให้หมดไป ด้วยฟีเจอร์ Office Kit ที่รวมหลากหลายการเชื่อมต่อ ช่วยให้การทํางานร่วมกันระหว่างสมาร์ตโฟน Android และคอมพิวเตอร์ Windows หรือ Mac สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ด้วยคุณสมบัติการรับ-ส่งร่วมกัน เช่น
- การสะท้อนหน้าจอ (Screen Mirroring) : สามารถกดค้างเพื่อลากรูปภาพหรือไฟล์จากหน้าต่าง Screen Mirroring ไปยังเดสก์ท็อปหรือโฟลเดอร์ได้โดยตรง ผ่านแอปพลิเคชันของ vivo เช่น Albums และ File Managerเพื่อประสานการทํางานระหว่าง หน้าจออย่างมีประสิทธิภาพ
- การซิงก์บันทึก (Notes Sync) : ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานร่วมกับ PC เช่น กล้องและเครื่องสแกนเอกสาร ให้คุณสามารถทํางานได้ทุกที่ ทุกเวลาผ่านสมาร์ตโฟน โดยไม่ต้องมีการ เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ซับซ้อนหรือ ติดตั้งไดรเวอร์เพิ่มเติม
- การโอนไฟล์อย่างอิสระ (Free Transfer) : ด้วยฟีเจอร์ Free Transfer เพียงเข้าสู่ระบบด้วยบัญชีเดียวกันบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ขณะที่เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถส่งไฟล์จากสมาร์ตโฟน (ผ่านแผงแชร์หรือ Origin Island) ไปยังพีซี (ผ่านเมนูคลิกขวาการ์ดอุปกรณ์ หรือทางเข้าหน้าแรก) ได้อย่างอย่างรวดเร็วและราบรื่น
- การทํางานร่วมกันบนโน้ตหลายอุปกรณ์ (Notes Multi-Device Collaboration) : ช่วยให้คุณบันทึกไอเดียได้ทันทีบนอุปกรณ์ที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจหรือเสียงประชุมบนสมาร์ตโฟน และนํามาจัดระเบียบเป็นเอกสารบน PC ด้วยการซิงค์แบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้ทุกอย่างจัดการได้ง่ายและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
Battery
แบตเตอรี่ BlueVolt 6040mAh พร้อมชาร์จไว 90W FlashChage
vivo X300 มากับแบตเตอรี่ BlueVolt ขนาด 6040mAh ซึ่งเป็นขนาดความจุของแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน (vivo X200 แบตเตอรี่ 5800mAh) ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานขึ้นตลอดวันด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว และถึงแม้จะมากับแบตเตอรี่ขนาดความจุที่เพียงพอต่อการใช้งานในหนึ่งวัน แต่เมื่อต้องชาร์จทาง vivo ก็ใส่เทคโนโลยีชาร์จไวผ่านสาย 90W FlashCharge และรองรับชาร์จไวแบบไร้สาย 40W Wireless FlashCharge มาให้ด้วย
ตัวแบตเตอรี่นั้นใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง Silicon Negative Electrode Gen 4 และ Semi-Solid State ดังนั้นจึงอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป โดยผ่านการรับรองสุขภาพแบตเตอรี่ยาวนาน 5 ปี โดยที่ความจุแบตเตอรี่จะไม่ลดต่ำกว่า 80% จาก SGS และยังรองรับระบบ Global Bypass Charging ด้วย
Display
จอระดับสูง มาตรฐานสมาร์ตโฟนเรือธง
vivo X300 มากับหน้าจอขนาดกระทัดรัด 6.31 นิ้ว ความละเอียด 1216 × 2640 พิกเซล (FHD+) เป็นขนาดที่เหมาะกับการถือใช้งานเดียวมาก ๆ ครับ จะเล่นเกม ถ่ายรูป หรือหยิบขึ้นปัดดูโซเชียลทำได้คล่องและกระชับมือมาก ๆ และมีขอบหน้าจอ (Bazel) ที่บางเพียง 1.05 มิลลิเมตร และสมมาตรกันทุกด้าน ทำให้การรับชมคอนเทนต์ทำได้เต็มตาและได้อรรถรสยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จอแสดงผลของ vivo X300 ยังมีอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz ความหนาแน่นพิกเซล 460PPI ใช้วัสดุเปล่งแสง Q10 plus (BOE) มีระบบลดแสงกระพริบ 2160Hz Full High-Frequency PWM + Full-Range DC Dimming ช่วยลดอาการล้าของดวงตาเมื่อใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วน 4500nits และความสว่างสูงสุดทั่วหน้าจอ 2000nits จึงเป็นจอแสดงผล HDR ที่ดีไม่เรือธงรุ่นไหน และใช้งานกลางแจ้งได้สบายโดยที่ยังคงมองเห็นคอนเทนต์บนหน้าจอ รองรับการแสดงสีสันที่ครอบคลุม 100% P3 Wide Color Gamut และรองรับ HDR และ Low Blue Light จาก SGS ด้วย
Durability
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นระดับ IP68 & IP69
vivo X300 มากับความทนทานตามมาตรฐานสมาร์ตโฟนเรือธงยุคใหม่ ที่ต้องเอาอยู่ทั้งนํ้าและฝุ่นไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนในชีวิตประจําวัน จึงมากับมาตรฐานทนนํ้าทนฝุ่น IP68 & IP69 ป้องกันฝุ่นละอองและละอองนํ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มั่นใจในการใช้งานทุกสถานการณ์ทั้งฝนตกหรือกิจกรรมกลางแจ้ง นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแกร่งของจอด้วยกระจกกันกระแทกระดับสูง Reinforced Glass ที่ผ่านการทดสอบการตกกระแทกบนพื้นผิวขรุขระ และทนต่อแรงกระแทก
Wrap-up
บทสรุปของ vivo X300
vivo X300 สำหรับผมแล้ว… เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงไซซ์คอมแพกต์ที่มีความครบเครื่อง เก่ง และให้ประสบการณ์การใช้งานที่เทียบเคียงกับรุ่นท็อปสุดของแบรนด์เลยก็ว่าได้ ทั้งฮาร์ดแวร์ที่ใช้เหมือน vivo X300 Pro เกือบจะ 90% ได้ ซอฟต์แวร์ก็ได้ OriginOS 6 เหมือนกัน และประสบการณ์ใช้งานด้านกล้องถ่ายรูปทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่อาจจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดของภาพ ที่เกิดจากการใช้เซนเซอร์กล้องหลักคนละตัวกัน แต่ในภาพรวมของประสบการณ์การใช้งาน เชื่อเถอะครับ! ความพึงพอใจแทบไม่ต่างกันเลย
อาจจะเหลือแค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนว่าจำเป็นต้องไปรุ่นท็อปหรือไม่แค่นั้นเลยครับ เช่น ขนาดหน้าจอ, กิจกรรมส่วนตัว เป็นต้น ซึ่งไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นแบรนด์กล้าใส่ความเก่งและความสามารถด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านกล้องถ่ายรูปมาให้รุ่นมาตรฐานหรือรุ่นเริ่มต้นแบบไม่แพ้ตัวท็อปเลย และถ้าหากขยับออกไปเทียบกับคู่แข่งในตลาดด้วยราคาวางจำหน่ายเรทราคานี้ จะเห็นเลยว่า vivo X300 ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที
นอกจากนี้ ยังสัมผัสได้ว่า ครั้งนี้ทาง vivo ได้ออกแบบโจทย์การใช้งานที่คิดเผื่อมาให้คนใช้แทบจะครบทุกด้านแล้วล่ะครับ ตอนที่ผมใช้ตัวเครื่องถ่ายภาพหรือในวิดีโอระหว่างถ่ายงานจะมีความรู้สึกเลยว่า ในทุกฟีเจอร์หรือโหมดถ่ายภาพและวิดีโอ เหมือนทาง vivo จะคิดไว้ให้เราหมดแล้วว่า พอใช้โหมดนี้แล้วผู้ใช้น่าจะอยากได้หรือต้องใช้ฟีเจอร์อะไรเพิ่มเติมบ้าง เพราะตัวผมเองเมื่อถ่ายภาพหรือทำคอนเทนต์ด้วย vivo X300 ไปเรื่อย ๆ แล้วมีไอเดียภาพในหัวขึ้นมาว่า “เออ! ถ้าหากมีฟีเจอร์นี้มาช่วยช็อตนี้น่าจะสนุกน่าดู” เชื่อมั้ยครับว่า คุณก็จะเจอสิ่งที่คุณอยากได้ทันที นี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าเป็นจุดที่ vivo ทำได้ดีมากจริง ๆ ในครั้งนี้
ดังนั้นบทสรุปของผมกับ vivo X300 ที่อยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ชาว Insight Daily กันก็คือ ถ้าหากเพื่อนคนไหนกำลังมองหาหรือต้องการสมาร์ตโฟนเรือธงบนขนาดที่กระทัดรัด ถือจับใช้งานด้วยมือเดียวได้คล่องและสะดวก ตอบรับโจทย์การใช้งานที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ปกติตั้งแต่ถ่ายภาพทั่วไปในชีวิตประจำวันไปจนถึงยามต้องเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน ก็ให้ผลงานภาพถ่ายที่สวย พึ่งพอใจและอิ่มเอมใจไปกับโมเมนต์นั้น ๆ พร้อมกับลูกเล่นและฟีเจอร์ที่อัดแน่นไม่แพ้รุ่นท็อป ให้การประมวลผลที่เต็มประสิทธิภาพในระดับมือถือเรือธง เอาจริงแค่ vivo X300 น้องเล็กคนนี้ก็เพียงพอแล้วล่ะครับ
Price & Availability
ราคา การวางจำหน่าย และโปรโมชัน
vivo X300 Series สมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ กล้องทรงพลัง พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้!
vivo X300 กล้องหลัก ZEISS ความละเอียด 200MP, ชิป Dimensity 9500 ผสาน V3+ ประมวลผลเหนือชั้น สเปกสุดล้ำแบบรอบด้าน ในตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด มาใน 3 ตัวเลือกสี คือ สีชมพู Halo Pink, สีดำ Phantom Black และสีม่วง Iris Purple
- vivo X300 รุ่น 12GB + 256GB ราคา 31,999 บาท
- vivo X300 รุ่น 16GB + 512GB ราคา 34,999 บาท
vivo X300 Pro กล้องเทเลโฟโต้ ZEISS APO ความละเอียด 200MP, ชิป Dimensity 9500 ผสาน V3+ และ VS1 ซูมภาพและวิดีโอชัด เหมือนอยู่หน้าเวที ใน 3 ตัวเลือกสี คือ สีน้ำตาล Dune Brown, สีฟ้า Mist Blue และสีดำ Phantom Black
- vivo X300 Pro รุ่น 16GB + 512GB ราคา 39,999 บาท
พร้อมโปรโมชันพิเศษ รับของสมนาคุณมากมาย ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2568 เท่านั้น!
ต่อที่ 1 : vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี จำนวน 1 ครั้ง (มูลค่า 10,999 บาท)
ต่อที่ 2 : ขาตั้งสมาร์ตโฟน (มูลค่า 890 บาท)
ต่อที่ 3 : เคสตัวเครื่องพร้อมแม่เหล็ก (มูลค่า 1,299 บาท)
สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา, ช่องทางออนไลน์ Shopee, Lazada, Tiktok Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
#vivoX300Series #แค่คลิกซูมชิดติดเวที #ซูมชัด200MPด้วยกล้องZEISS
—————
▶︎ อัปเดตข่าวสาร และบทความต่างๆ
คลิกดูต่อที่ insight-daily.com ได้เลย!


















































































































































































