INSIGHT BRANDSMOBILETECH

Insight Brand — Apple A Series ชิปเซ็ตทรงพลังผู้ปฏิวัติวงการสมาร์ตโฟน

เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ Apple นอกเหนือจากระบบปฏิบัติการที่ยอดเยี่ยมแล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ “Apple A Series” ชิปที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้อุปกรณ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในครั้งนี้เรามาย้อนดูประวัติความเป็นมาของชิปซีรีส์นี้กันสักหน่อย ว่ามีจุดเริ่มต้นมาได้อย่างไร? …ถ้าพร้อมแล้ว Insight Daily จะเล่าให้ฟัง!


จุดเริ่มต้นของ Apple A Series

ชิป A Series รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 2010 ในชื่อ “A4” นับเป็นชิปตัวแรกที่ออกแบบโดย Apple และถือเป็นเทคโนโลยีชิป 45 นาโนเมตร ที่ล้ำสมัยที่สุดในตอนนั้นด้วยการนำ CPU, GPU และ RAM เข้าไว้ด้วยกันในชิปตัวเดียว ซึ่งอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad และ iPhone 4

ปี 2011, เปิดตัว “A5” ชิปสถาปัตยกรรม 32 นาโนเมตร แบบ Dual Core รุ่นแรกที่มีพลังการประมวลผลแรงขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad 2 และ iPhone 4S

ปี 2012, เปิดตัว “A5X” ชิปรุ่นอัปเกรดที่ยังคงใช้สถาปัตยกรรม 32 นาโนเมตร แบบ Dual Core เช่นเดิม แต่มีการปรับปรุงหน่วยประมวลผลกราฟิกให้แรงขึ้น ซึ่งอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad (3rd generation)

ถัดมาในปีเดียวกันได้เปิดตัว “A6” และ “A6X” ชิปสถาปัตยกรรม 32 นาโนเมตร แบบ Dual Core เหมือนเดิม เพียงแค่ปรับปรุงความเร็วในการประมวลผลของ CPU และ GPU ให้แรงขึ้น ซึ่งอุปกรณ์ที่ได้ใช้ชิป A6 ก็คือ iPhone 5 และ iPhone 5C ส่วนอุปกรณ์ที่ได้ใช้ชิป A6X ก็คือ iPad (4th generation)

ปี 2013, เปิดตัว “A7” ชิปรุ่นแรกที่ใช้สถาปัตยกรรม 28 นาโนเมตร รองรับการประมวลผล 64 บิต นับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของวงการเลยก็ว่าได้ และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone 5S และ iPad Air

ปี 2014, เปิดตัว “A8” ชิปสถาปัตยกรรม 20 นาโนเมตร รองรับ 64 บิต รุ่นที่สอง ซึ่งอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPad mini 4, iPod touch (6th generation) และ HomePod (1st generation)

ในปีเดียวกันได้เปิดตัว “A8X” ชิปรุ่นอัปเกรดที่ได้เปลี่ยนมาใช้เป็นสถาปัตยกรรม 20 นาโนเมตร แบบ Tri Core ซึ่งประสิทธิภาพโดยรวมแรงขึ้น 20% เมื่อเทียบกับชิป “A8” อีกด้วย และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad Air 2

ปี 2015, เปิดตัว “A9” และ “A9X” ชิปสถาปัตยกรรม 16 นาโนเมตร รองรับ 64 บิต แม้ว่าชิปรุ่นนี้เป็นเพียง Dual Core แต่ทาง Apple เคลมว่าประสิทธิภาพของ CPU แรงขึ้น 70% และ GPU แรงขึ้น 90% เมื่อนำไปเทียบกับชิป A8 รวมถึงเป็นครั้งแรกที่ได้ใส่ชิป M9 ซึ่งเป็นชิปตรวจจับการเคลื่อนไหวเข้ามาเพื่อรองรับฟีเจอร์ “Hey Siri” โดยอุปกรณ์ที่ใช้ชิป A9 ก็คือ iPhone 6S, iPhone 6S Plus, iPhone SE (1st generation) และ iPad (5th generation) ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ชิป A9X ก็คือ iPad Pro (1st generation)

ปี 2016, เปิดตัว “A10 Fusion” ชิปสถาปัตยกรรม 16 นาโนเมตร แบบ Quad Core 64 บิต มีความเร็วสูงถึง 2.34 GHz ส่งผลให้มีความแรงกว่าชิป A9 ถึง 40% เลยทีเดียว และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus

ปี 2017, เปิดตัว “A10X Fusion” ชิปตัวแรกที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม 10 นาโนเมตร โดยภายในมีซีพียูมากถึง 6 คอร์ ซึ่งประมวลผลได้เร็วกว่าชิป A9X ถึง 30% และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad Pro (2nd generation) และ Apple TV 4K (1st generation)

นอกจากนี้ ในปีเดียวกันได้เปิดตัว “A11 Bionic” ชิปตัวแรกที่มี Neural Engine ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลด้าน Machine Learning และ AI อีกทั้งประสิทธิภาพโดยรวมแรงกว่าชิป A10 Fusion ถึง 70% ส่วนอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone X และ iPhone 8 / iPhone 8 Plus

ปี 2018, เปิดตัว “A12 Bionic” ชิปตัวแรกที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร ซึ่งประสิทธิภาพโดยรวมแรงกว่าชิป A11 ถึง 15% และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone XR, iPhone Xs, iPhone Xs Max, iPad Air (3rd generation), iPad mini (5th generation), Apple TV 4K (2nd generation), iPad (8th generation)

ถัดมาปีเดียวกันได้เปิดตัว “A12X Bionic” ชิปตัวแรงขุมพลัง 8 คอร์ ที่มีประสิทธิภาพแรงกว่าชิป A10X ถึง 95% และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad Pro (3rd generation)

ปี 2019, เปิดตัว “A13 Bionic” ยังคงเป็นชิปสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร ภายในมี 6 คอร์ พร้อม Neural Engine ที่พัฒนาขึ้นเป็น 8 คอร์ สามารถประมวลผลได้สูงสุด 5 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone SE (2nd generation), iPad (9th generation), Studio Display

ปี 2020, เปิดตัว “A12Z Bionic” ชิปรุ่นใหม่แต่รหัสเดิม ซึ่งตามรายงานจากสื่อหลายสำนักเผยว่าเป็นกลยุทธ์การลดต้นทุนของ Apple โดยเป็นการนำเอาชิป “A12X Bionic” มาอัปเกรดให้แรงขึ้น และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad Pro (4th generation), Mac mini

ต่อมาในปีเดียวกันได้เปิดตัว “A14 Bionic” ชิปใหม่ถอดด้ามด้วยสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร ตัวแรกของโลก มี Neural Engine มากถึง 16 คอร์ ซึ่งแรงกว่าชิป A12 ถึง 40% และอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPad Air (4th generation), iPhone 12 Series, iPad (10th generation)

ปี 2021, เปิดตัว “A15 Bionic” ชิปสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร โดยภายในมีจำนวนทรานซิสเตอร์ 15 พันล้านตัว ซึ่งมากกว่าชิป A14 Bionic ที่มีเพียง 11.8 พันล้านตัวเท่านั้น ทำให้มีประสิทธิภาพแรงขึ้นกว่าเดิมถึง 50% ส่วนอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone 13 Series, iPad mini (6th generation), iPhone SE (3rd generation), iPhone 14, iPhone 14 Plus

ปี 2022, เปิดตัว “A16 Bionic” ชิปตัวแรกที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม 4 นาโนเมตร ภายในมีแกนประมวลผล 6 คอร์ พร้อม Neural Engine ที่ประมวลผลได้เพิ่มขึ้นเป็น 17 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ส่วนอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone 14 Pro, iPhone 14 Pro Max, iPhone 15, iPhone 15 Plus

ปี 2023, เปิดตัว “A17 Pro” ชิป Apple Silicon ตัวแรกที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพแรงขึ้นกว่าชิป A16 Bionic ถึง 10% และอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของชิปรุ่นนี้ก็คือการยกเครื่องหน่วยประมวลผลกราฟิกใหม่ทั้งหมดพร้อมใส่ Ray Tracing เทคโนโลยีเรนเดอร์แสงเงาระดับเครื่องเกมคอนโซล ส่วนอุปกรณ์ที่ได้ใช้ก็คือ iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max

ล่าสุดปี 2024, เปิดตัว “A18” และ “A18 Pro” ชิป Apple Silicon ตัวล่าสุดที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับ Apple Intelligence​ โดยเฉพาะ ภายในมี Neural Engine จำนวน 16 คอร์ ที่ประมวลผลได้ 35 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ดังนั้นจึงส่งผลให้รัน Generative AI ได้เร็วกว่าชิป A16 Bionic ถึง 2 เท่า อีกด้วย

ต้องยอมรับว่า Apple คือหนึ่งในบริษัทที่คิดค้นเทคโนโลยีชิปแถวหน้าของโลกยุคปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย

—————
▶︎ อัปเดตข่าวสาร และบทความต่างๆ
คลิกดูต่อที่ insight-daily.com ได้เลย!

 

Watchara Hirunsothorn | Poy

หนึ่งในทีมงาน Content Creator ของ Insight Daily ชื่นชอบการเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านคอนเทนต์ มีประสบการณ์ทำคอนเทนต์หลายอย่างทั้งแม็กกาซีน เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย

Leave a Reply