“Wandering around Bangkok” พาเที่ยวกรุงเทพฯ ฝั่งเกาะรัตนโกสินทร์ ด้วย vivo X90 Pro 5G
พบกับ “Wandering around Bangkok” คอลัมน์เตร็ดเตร่เที่ยวกรุงฯ ที่วันนี้เราจะพาทุกท่านไปตระเวณฝั่งเกาะรัตนโกสินทร์กันค่ะ โดยผู้ช่วยหลักคือสมาร์ตโฟนสายถ่ายภาพพอร์ตเทรต “vivo X90 Pro 5G” ที่ครั้งนี้เราจะไม่ได้เอาไปถ่ายภาพคนแต่อย่างใด แต่เราจะเอาไปถ่ายภาพแนว Landscape และพยายามใช้โหมดต่างๆ เท่าที่พอจะใช้ได้ ซึ่งถือว่าเราไม่ได้เอาจุดขายที่ใครๆ ก็เห็นชัดว่ามันทำได้ดีอยู่แล้วมาให้ดู แต่เอาจุดที่คนสงสัยกันว่าถ้าแบบนี้ๆ มันจะได้ไหมนะ จะดีหรือเปล่า? ในบทความนี้เราจะอาสาออกไปทดสอบ พร้อมพาเที่ยวไปด้วยในตัว ตามมาดูกันว่ามือโปรด้านถ่าย Portrait สู่โปรหรือไม่? ด้าน Landscape ถ่ายทิวทัศน์ ตึก อาคาร ท้องถนน และบรรยากาศของกรุงเทพฯ ฝั่งเกาะรัตนโกสินทร์ อยากรู้ว่าจะปังหรือจะพัง ยังไงก็ลองมาดูรูปกันนะคะ
เริ่มต้นการเดินทางโดยปักเป้าหมายไว้ที่ “วัดอรุณราชวราราม” ค่ะ แต่เดิมเราตั้งใจจะนั่งเรือข้ามฝั่งเพื่อไปเก็บภาพที่วัดอรุณฯ เลย แต่พอหามุมเก็บภาพได้ก็ทำให้เห็นโมเมนต์ดีๆ ตรงหน้า จนเกิดอยากจะเห็นแสงพระอาทิตย์ตกดินที่มีวัดอรุณฯ เป็นฉากหน้าไปเสียอย่างนั้น ผลสรุปเลยออกมาตรงที่ว่าเราจะเดินเล่นกันที่ฝั่งนี้ (ไม่ข้ามฝั่งแล้ว) พอถึงเวลาค่อยวนกลับมายืนดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ท่าเรือนี้อีกครั้งค่ะ
สำหรับการเดินทาง เราเลือกนั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานีสนามไชย ออกที่ทางออก 1 จะขึ้นมาโผล่ที่หน้ามิวเซียมสยามพอดี เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นวัดอรุณฯ ไกลๆ อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ มีหลายซอยที่สามารถเดินทะลุไปริมฝั่งแม่น้ำได้ ซึ่งช่วงที่เราไปท่าเรือต่างๆ กำลังอยู่ในระหว่างซ่อมปรับปรุงใหม่ เพราะไม่เคยไปก็เลยไม่รู้ว่าท่าไหนเป็นท่าไหนเลยค่ะ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากหาซอยที่ทะลุเข้าไปถ่ายรูปได้ สามารถสอบถามจากพี่ๆ ที่อยู่แถวนั้นได้ ทุกคนพร้อมตอบคำถาม ใจดีกันมากๆ เลย
เมื่อเจอจุดถ่ายรูป ก็ถึงเวลาที่เราจะยกเจ้า vivo X90 Pro 5G ขึ้นมาถ่ายแล้วค่ะ ช่วงบ่ายแก่แสงจะออกอมเหลืองอมส้มหน่อยๆ เพราะว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะมืดแล้ว คิดว่าหลังจากได้ช็อตพระอาทิตย์ตกดินฟ้าสีแดงๆ ก็น่าจะได้ภาพวัดอรุณฯ ตอนเปิดไฟสีเหลืองทองอร่ามช่วงฟ้ามืดไปด้วย
สำหรับภาพแรก เราเลือกถ่ายด้วยโหมด Auto ค่ะ และหลังจากเหลือบไปเห็นปุ่ม ZEISS ด้านบน ซึ่งเป็นโหมดการถ่ายภาพในสไตล์ ZEISS Natural Color หลังจากกดถ่ายมาแล้ว ผลลัพธ์ในภาพขวาก็ทำให้เห็นว่าการใช้โหมดนี้ ภาพที่ออกมาสีและบรรยากาศโดยรอบจะใกล้เคียงกับที่ตาเรากำลังมองเห็นจริงๆ ค่ะ สังเกตที่ตัวเรือด้านหน้า ในโหมด Auto ด้านซ้ายสีจะสดกว่า
หลังจากถ่ายภาพแล้ว เรายืนเสพบรรยากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าอีกฝั่งถนนก่อนเดินเข้าซอยมา ด้านขวามือจะเป็น วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนฯ มองจากไกลๆ เห็นความสวยงามที่ฟุ้งเข้ามาเตะตาจนคิดว่ายังไงก็ต้องแวะไปดูให้ได้ เหลือบมองไปที่นาฬิกาแล้วเห็นว่ายังมีเวลาอีกราว 2 ชั่วโมงก่อนที่วัดจะปิด เราจึงเดินออกไปเพื่อหาประตูทางเข้าวัด ซึ่งระหว่างเดินก็แวะเก็บภาพตามรายทาง ทดสอบใช้โหมดต่างๆ ของกล้องสมาร์ตโฟนไปด้วย
ภาพนี้ลองใช้โหมด Portrait แต่ไม่ได้เลือกใช้ลูกเล่นเสริมต่างๆ นะคะ เป็น Default ของโหมดนี้ แม้จะไม่มีโมเดล แต่เราเห็นอยู่บ่อยว่า หลายคนชอบใช้โหมดนี้ถ่ายกับภาพสิ่งของอื่นๆ ด้วย เช่น แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ ตุ๊กตา ฯลฯ ด้วยความที่ไม่ต้องการให้ภาพมีมิติเป็นระนาบเดียว หรืออาจจะอยากเบลภาพ Background รกๆ ข้างหลังก็ตามที ตำแหน่งโมเดลของเราจึงตกเป็นของ ‘บัวม่วง’ ดอกนี้ จะเห็นได้ว่าการตัดขอบและการเบลอดูเนียนตาและเป็นธรรมชาติมากๆ
ต่อมากับโหมด Macro ที่ต้องขอขอบคุณ ‘บัวม่วง’ อีกครั้งที่ยอมเป็นแบบให้เราถ่ายแบบสงบนิ่ง ภาพนี้เราไม่ได้กดเลือก Macro Mode นะคะ แต่ตัวสมาร์ตโฟนเปิด Auto Macro ไว้อยู่แล้ว ดังนั้นหน้าที่ของเราก็แค่ขยับกล้องเข้าไปให้ได้ระยะแล้วกดถ่ายค่ะ
และในที่สุดเราก็ได้ก้าวข้ามประตูเข้ามาสู่ วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ด้านนอกที่มองเห็นว่าสวยสดงดงามแล้ว ด้านในต้องบอกว่าสวยอลังการกว่าหลายเท่ามาก ซึ่งที่นี่หนึ่งในวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 มีไฮไลท์สำคัญที่ต้องไปหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น “พระพุทธไสยาส” หรือพระนอน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่, “มหาเจดีย์ สี่รัชกาล” มหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์, “ตุ๊กตาหินจีน” หน้าซุ้มประตู, “พระระเบียง” ชั้นนอก-ชั้นใน, “ยักษ์วัดโพธิ์” ทั้ง 4 ตน และอีกหลายจุดที่น่าสนใจ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนค่อนข้างมาก
เจอนางแบบตัวน้อย (นางหรือนายก็ไม่รู้เหมือนกัน) กำลังทำหน้าที่เรียกแขก ดูแล้วน่าจะเล่นกับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นประจำ เสียงร้องเอย ลูกอ้อนเอย ยังไงก็ต้องแวะเล่นกับน้องเขาหน่อยล่ะ ซึ่งน้องก็ไม่ได้อยู่นิ่งให้เราถ่ายรูปได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ถึงเวลาต้องงัดเอายุทธวิธีการกดรัวมาใช้ หลังจากนั้นจึงค่อยมาเห็นว่าเขามี Zero Shutter Lag Motion Snapshot สำหรับจับภาพเคลื่อนไหวมาให้ใช้ด้วยนะ แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะน้องหนีเราไปแล้ว เอาเป็นว่าก็ยังพอได้ช็อตน้องแบบดีๆ มาอยู่นะ
และด้านล่างนี้กับภาพของ “มหาเจดีย์ สี่รัชกาล” ตัวเจดีย์ถูกประดับด้วยกระเบื้องเคลือบโบราณลวดลายดอกไม้ สีสันสดใส ดูสวยงามมากจริงๆ ถ่ายรูปเปิดใช้โหมด ZEISS Natural Color ค่ะ
ส่งท้ายที่วัดโพธิ์กับภาพของ “ยักษ์วัดโพธิ์” ที่เราเลือกเปิดใช้โหมด Ultrawide มุมมองกว้าง 116 องศา เก็บภาพแบบกว้างๆ เพื่อให้เห็นดีเทลรอบข้างด้วย
จบทริปวัดโพธิ์ เราเดินข้ามฝั่งกลับมาที่ท่าน้ำท่าเดิมเพื่อถ่ายรูปวัดอรุณฯ อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่น่าสียดายที่ไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เมื่อฟ้ามืด ฝั่งวัดก็อรุณฯ เปิดไฟสีเหลืองทองสว่างไสว เราจึงได้ใช้ Night Mode ในการเก็บภาพ ถือว่าได้อีกหนึ่งโมเมนต์ที่น่าประทับใจแทน คุ้มค่าแล้วกับการเดินทางในครั้งนี้ค่ะ
ปิดจบทริปวันนี้ เราเลือกนั่ง MRT จาก สถานีสนามไชย ไปลงที่ สถานีวัดมังกร จุดหมายคือ “เยาวราช” สำหรับการเดินทาง เราออกจากสถานีทางประตูที่ 1 ค่ะ เซิร์จข้อมูลจาก Google บอกว่าให้เดินมาตามถนนแปลงนาม ซึ่งพอเราเดินออกจากสถานีมา ด้านซ้ายมือก็จะเป็นถนนแปลงนามเลยค่ะ แต่ยังไม่ต้องเดินไปถึงเยาวราช แค่ถนนเส้นนี้ก็คึกคักมากๆ แล้ว เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนสุดถนน ก็เจอกับ “เยาวราช” ถนนสายมังกรที่มีทั้ง แสง สี เสียง และผู้คนพลุกพล่านมาก (มากจนอยากจะหนีกลับบ้าน) ยิ่งใหญ่สมใจ อาจเพราะเป็นคืนวันเสาร์เลยทำให้มีคนเยอะเป็นพิเศษ จนคิดไปถึงว่าถ้าเราพกกล้องใหญ่พร้อมอุปกรณ์เสริมมาเดินถ่ายรูป คงจะลำบากมากแน่ๆ ในเคสที่ไม่ได้ต้องการงานถ่ายคุณภาพสูง แค่ถ่ายเก็บไว้ดูหรือโพสต์ลงโซเชียล การใช้แค่มือถือเครื่องเดียวถ่าย Snap ไปเรื่อยๆ จึงเป็นอะไรที่เหมาะกว่ามาก
กลับมาที่เรื่องของการใช้เจ้า vivo X90 Pro 5G เครื่องนี้กันค่ะ ท่ามกลางแสงสีสวยงามและท้องฟ้ามืดๆ แบบนี้ เราเลือกเปิด Night Mode ขึ้นมาใช้งาน ซึ่งกล้องสามารถเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้ดีมาก แต่ด้วยความที่คนค่อนข้างจอแจ เราต้องเดินตามกระแสไปเรื่อย การถ่ายภาพด้วยโหมด Night จะต้องใช้เวลาอยู่ในหลักวินาที แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราโดนด่า (อยู่ในใจ) เราจึงเลือกถ่ายด้วยโหมดธรรมดา เห็นผลจากภาพที่ออกมา คาดว่า AI คงมีการประมวลผลให้ระดับหนึ่งแล้ว เพราะความสว่างแทบไม่แตกต่างจากการเปิดโหมด Night เลย แต่รายระเอียดและการเก็บแสงภาพต่างๆ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่า
และน่าเสียดายที่จริงๆ แล้วสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ มี Supermoon และ Astro โหมดสำหรับถ่ายพระจันทร์และดาวด้วย ท้องฟ้าในกรุงเทพฯ ไม่เคยเป็นใจอยู่แล้ว แค่จะเห็นพระจันทร์แบบชัดๆ แจ่มๆ ยังนับครั้งได้ ส่วนดาวนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย สุดท้ายเราเลยลองส่องท้องฟ้าหาพระจันทร์ดูสักหน่อย (แต่ไม่ได้เปิดใช้โหมดนะ) สรุปคือเมฆบังมิดอย่างที่เห็น ลมเย็นโชยอ่อนๆ อากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตก สงสัยคงต้องรีบกลับบ้านกันแล้วล่ะค่ะ
เราเดินทางกลับด้วยการมุดย้อนไปที่ถนนแปลงนามเหมือนเดิม ขามาคงจะรีบเดินผ่านไป จนเพิ่งมาสังเกตเห็นสองข้างทางที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลาย หรืออาจเพราะความหิวที่ทำให้สายตาของเราเริ่มมองเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘อาหาร’ ได้ชัดขึ้น พอพูดอาหาร ก็เห็นว่า vivo X90 Pro 5G นี้ มาพร้อม Food Mode สำหรับช่วยในการถ่ายอาหารแยกออกมาด้วย ถึงจะหิวมาก แต่เราก็ขอแอบแวะยกมือถือลองถ่ายไปด้วยตามทาง
และที่เห็นข้างบนนี้คือหูฉลามค่ะ ด้วยความที่ไม่ค่อยสันทัดอาหารจีนเลย ก็ต้องยอมรับว่าเกิดมาเพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน ถ้าไม่มีป้ายร้านบอกก็คิดว่าคงไม่รู้ว่าคืออะไร? สองรูปนี้เราเลือกใช้โหมด Food กดถ่ายแบบ 1X กับ 2X ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสีของภาพถูกเร่งขึ้นให้ดูสีสด อาหารจึงดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น โหมดกล้องมีสไตล์ให้เลือก รวมทั้งปรับเอฟเฟกต์โบเก้ละลายหลังได้ และเช่นเคยที่ผู้คนยังเดินกันพลุกพล่าน เปิดโหมดอาหารมาแล้วค่า Default เซ็ตไว้อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ถ้าถามว่าดีมั้ย? ดีเลยค่ะ เพราะแบบนี้เราไม่ต้องไปปรับสีเพิ่มแล้วนะ เลือกมุมดีๆ กดแชะ ภาพออกมาสีสวย คมชัด พร้อมใช้ได้เลย
ส่งท้ายทริปเตร็ดเตร่รอบกรุง “Wandering around Bangkok” ฝั่งเกาะรัตนโกสินทร์ ไปกับภาพถ่าย Long-Exposure Mode จาก vivo X90 Pro 5G ค่ะ โดยโหมด Long-Exposure นี้ เราสามารถเลือกถ่ายได้ด้วยมือเปล่าเลย (ปกติต้องใช้ขาตั้งนะ ไม่งั้นเส้นไฟจะบูดเบี้ยว) น่าแปลกที่ผู้คนพลุกพล่าน แต่บนถนน (เจริญกรุง) เส้นนี้ ในเวลานี้ รถกลับไม่ได้วิ่งขวักไขว่เหมือนอย่างเส้นเยาวราช จากในรูปด้านล่างนี้ ตอนยกมือถือขึ้นกดถ่าย คือมีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งสวนกันช้าๆ อยู่แค่ 3 – 4 คันเท่านั้น ส่วนตัวจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพราะยังไงการจะถ่ายภาพโหมดนี้ออกมาได้ดี ในเคสที่ไม่มีขาตั้งกล้อง คือมือต้องนิ่งมากๆ ไฟจากรถต้องมีประมาณหนึ่ง เพื่อให้สามารถสร้างเส้นแสงได้แบบสวยงามอลังการ ผลลัพธ์ภาพที่ออกมาก็เรียกได้ว่าเกินคาดค่ะ อันดับแรกคือเราเป็นแค่ตากล้องฉาบฉวย แค่ชอบถ่ายรูปเก็บโมเมนต์ที่ชอบ ที่ประทับใจ แต่ไม่ได้เป็นตากล้องมืออาชีพ แน่นอนว่า ‘มือไม่นิ่ง’ ขนาดนั้น อันดับสองคือสภาพรอบข้างไม่เป็นใจ จากที่เคยทดสอบโหมดนี้จากสมาร์ตโฟนหลายๆ รุ่น ผลที่ออกมาถ้าไม่ได้เส้นไฟยึกยือ ก็จะเป็นภาพที่แสงฟุ้งและเบลอทั้งภาพ ดังนั้นการที่ภาพสามารถประมวลผลออกมาได้แบบนี้ก็ว้าวมากอยู่นะ
vivo X90 Pro 5G สมาร์ตโฟนที่ Co-engineered with ZEISS แบรนด์เลนส์คุณภาพสูงระดับโลกจากเยอรมัน ที่เรียกได้ว่าเป็นการจับมือร่วมกันของสองแบรนด์ใหญ่ โดยมาพร้อมกสโลแกน “Pro Photography in Pocket” และนี่ก็คือภาพถ่าย-บทสรุป (เรื่องกล้อง) จากความคิดเห็นส่วนตัวหลังจากที่ได้ทดลองใช้มาระยะหนึ่งค่ะ
- การใช้งาน หลังจากลองนำออกรอบถ่ายภาพเมืองครั้งนี้ พบว่าสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ในพาร์ทของการใช้งานกล้องถือว่าใช้งานง่ายมากๆ ใช้งานสนุก มีโหมดการใช้งานและฟีเจอร์ให้เลือกหลากหลาย แม้ว่าจะชูจุดเด่นไปที่การถ่ายภาพพอร์ตเทรต แต่ก็เหมาะกับการถ่ายภาพ Landscape เหมือนกัน ให้มุมมองการถ่ายภาพใหม่ๆ โดยเฉพาะการถ่ายภาพสไตล์ ZEISS Natural Color ที่ให้สีและบรรยากาศโดยรอบใกล้เคียงกับที่ตาเห็นจริงๆ และการถ่ายภาพ Long-Exposure Mode โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง ก็ล้วนออกมาน่าประทับใจค่ะ
- ความสามารถของกล้อง vivo X90 Pro 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมเลนส์กล้องถ่ายรูปประสิทธิภาพสูง การันตีคุณภาพระดับ ZEISS สามารถถ่ายภาพและเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้ดี มีโหมดการถ่ายเยอะมาก (มากจนเล่นไม่หมด) ให้เราสามารถเก็บภาพได้ตามความต้องการ ตามสถานการณ์และความเหมาะสม เช่น คน สัตว์ อาคาร ทิวทัศน์ ฯลฯ
- จุดเด่นและจุดสังเกต กล้องคุณภาพสูง ครอบคลุมทุกความต้องการในการใช้งาน เก็บรายละเอียดได้ดี สวยงาม คมชัด โดยเฉพาะเรื่องการถ่ายภาพพอร์ตเทรต แต่จุดติติงคือรองรับ Optical Zoom แค่ 2X เท่านั้น คนที่เป็นสายซูมภาพ คิดจะพกไปถ่ายรูปศิลปินที่ชื่นชอบในคอนเสิร์ตก็อาจจะรู้สึกผิดหวังอยู่เหมือนกัน

































