รีวิว OPPO Reno11 5G สานต่อเรื่องราวของสมาร์ตโฟนที่เก่ง “พอร์ตเทรต” ถ่ายคนอย่างโปร

OPPO Reno11 5G สมาร์ตโฟนหนึ่งในซีรีส์ Reno11 ครั้งนี้ ที่มีความโดดเด่นและเก่งเรื่องการถ่ายภาพพอร์ตเทรตมากที่สุดอีกรุ่นของ OPPO ประเทศไทย ณ ตอนนี้ โดย OPPO Reno11 5G เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นกลางในครอบครัว Reno11 Series ครั้งนี้ มีการออกแบบตัวเครื่องที่สวยเป็นเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของสีตัวเครื่องส่วนตัวผมรู้สึกว่า ในช่วงปีทีผ่านมา OPPO ออกแบบสีตัวเครื่องได้สวยหลายรุ่น และรุ่นนี้ก็เป็นอีกรุ่นที่ออกแบบสีสันได้สวยดูดีเลยล่ะครับ

นอกจากนี้ด้วยความเป็นทายาทของ Reno Series ดังนั้นเอกลักษณ์ของซีรีส์ยังคงถูกส่งต่อมายัง “OPPO Reno11 5G” ด้วยเช่นกัน กับความเก่งในเรื่องของการถ่ายภาพพอร์ตเทรตทั้งระยะ Normal Lens และระยะ Tele Portrait ที่อัปเกรดขึ้นทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ จนทำให้ผลลัพธ์ของภาพหลังกล้องออกมาไม่ทำให้รุ่นพี่ OPPO Reno10 Series ที่ทำไว้ดีมาก ๆ ไม่ผิดหวัง ส่วนรายละเอียดและประสบการณ์การใช้งานในภาพรวมจะดีเหมือนจุดเด่นที่ผมยกมาหรือไม่ ไปติดตามพร้อมกันได้เลยครับ!

เลือกอ่านตามหัวข้อที่สนใจ

ข้อมูลสเปกตัวเครื่องของ OPPO Reno11 5G

  • จอแสดงผล AMOLED แบบโค้ง 3D ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2412X1080 พิกเซล (FHD+)
    — Refresh Rate 120Hz
    — Touch Sampling Rate 240Hz
    — Brightness 800 nits
    — Vivid Mode: 100% DCI-P3 coverage
    — Natural Mode: 100% sRGB coverage
  • CPU MediaTek Dimensity 7050
  • GPU Mali G68 MC4
  • RAM 12GB (LPDDR4x) 
  • ROM 256GB (UFS2.2)
  • ColorOS 14 (Base on Android 14)
  • กล้องถ่ายรูป Triple Camera
    กล้องหลัก ความละเอียด 50MP (F1.8, FOV 79°, OIS)
    กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8MP (2.2, FOV 112°, FixFocus)
    กล้อง Telephoto ความละเอียด 32MP (2.0, FOV 49°, AF)
  • กล้องหน้า ความละเอียด 32MP (F2.4, FOV 89°, FixFocus)
  • GPS, GLONASS, BDS, Galileo, QZSS
  • Wi-Fi (802.11 be/ax/ac/a/b/g/n)
  • Dual SIM Card
  • Bluetooth 5.3
  • สแกนนิ้วบนหน้าจอ
  • IR Blaster
  • NFC
  • USB-C Port
  • แบตเตอรี่ 5000mAh (SUPERVOOC 67W)


— Professional of Portrait  |  กล้องถ่ายรูปที่ “ถ่ายคนอย่างโปร” 

“กล้องถ่ายรูป” เป็นจุดเด่นหลักของ OPPO Reno11 5G เลยล่ะครับ โดย OPPO Reno11 5G มาพร้อมกล้องถ่ายรูป Triple camera ที่ประกอบด้วย กล้องหลัก เซ็นเซอร์ SONY LYT600 ความละเอียด 50MP มีทางยาวโฟกัส 26 มม. มีค่ารูรับแสง F1.8 และมีระบบกันสั่นในตัว (OIS) ต่อมาจะเป็นกล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide) ความละเอียด 8MP ใช้เซ็นเซอร์ SONY IMX355 มีค่ารูรับแสง F2.2 และให้มุมมองภาพกว้าง 112 องศา และกล้องตัวสุดท้ายซึ่งเป็นจุดขายของรุ่นนี้ด้วยนั่นคือ กล้อง Telephoto ความละเอียด 32MP ใช้เซ็นเซอร์ SONY IMX709 มีค่ารูรับแสง F2.0 มีทางยาวโฟกัส 47 มม. และมีระบกันสั่นในตัว (OIS) >> OPPO Reno11 5G ตัวเลือกมือถือที่เก่ง Tele Portrait ที่สุดในตลาดหมื่นต้น!

กล้องพอร์ตเทรตระดับคุณภาพ Optical Zoom 2X

สาเหตุที่ทำไม OPPO Reno11 5G ถึงเก่งในเรื่องการถ่ายภาพพอร์ตเทรตมาก ๆ จนเป็นจุดขายของรุ่นนี้ ก็มาจากการที่ OPPO เลือกใส่ฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมอย่างเซ็นเซอร์กล้อง Telephoto ความละเอียด 32MP ตัวนี้เข้ามา โดยกล้อง Telephoto ตัวนี้สามารถซูมระยะเข้าไปถ่ายวัตถุแบบ Optical Zoom ได้ที่ระยะ 2X และในขณะเดียวกันถ้าหากระยะ 2X ยังเป็นระยะที่เรารู้สึกยังไม่ใช่ เราก็สามารถสลับไปที่กล้องหลักเพื่อใช้ “5x In-sensor Zoom” เพื่อขยับระยะเข้าหาแบบของเราได้ด้วยครับ

โดยทั้งสองกล้องเมื่อกดชัตเตอร์ ก็จะมีซอฟต์แวร์ด้านพอร์ตเทรตโดยเฉพาะ “Portrait Expert Engine” ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ทาง OPPO พัฒนาขึ้นมาเข้ามาช่วยโปรเซสภาพ เช่น โทนสีผิว, แสง, หรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้ออกมาสวยตามฟิวการถ่ายภาพพอร์ตเทรตนั่นเองครับ จะบอกเป็นสูตรโกงของมือถือรุ่นนี้ก็ได้ เพราะการได้ซอฟต์แวร์ตัวนี้แหละจึงทำให้ภาพพอร์ตเทรตที่ได้ “สวย คมชัด และมีมิติตามสไตล์พอร์ตเทรต” 

  ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง OPPO Reno11 5G  

เทียบภาพถ่ายปกติและโหมดพอร์ตเทรต

———————————

  ภาพถ่ายพอร์ตเทรตซูม 2X  

เทียบภาพถ่ายพอร์ตเทรตระยะ 1X และระยะซูม 2X

———————————

  ภาพถ่ายโหมดกลางคืน  

———————————

  ตัวอย่างภาพถ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม  


กล้องหน้า 32MP เซลฟี่ได้สวยไม่แพ้กล้องหลัง 

กล้องหน้าของ OPPO Reno11 5G ให้คุณภาพการถ่ายที่ดีไม่แพ้กล้องหลังเหมือนกัน โดยมาพร้อมเซ็นเซอร์กล้อง OmniVision OV32C ความละเอียด 32MP มีระยะทางโฟกัส 22 มม. และมีค่ารูรับแสง F2.2 พร้อมฟีเจอร์การถ่ายภาพเซลฟี่ครบครั้น รวมถึงฟิลเตอร์สีด้วยนะ ชมภาพถ่ายตัวอย่างได้เลย!

  ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า OPPO Reno11 5G  

เทียบ Selfie ปกติ และ Portrait Selfie

———————————

  ภาพถ่ายเซลฟี่โหมดกลางคืน  


—  Best of Design  |  งานออกแบบที่ดีที่สุดจาก OPPO

งานออกแบบตัวเครื่องของ OPPO Reno11 5G มากับคอนเซ็ปต์ที่ว่า “เบา บาง อย่างมีสไตล์” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากธรรมชาติ จนมาสู่การผสมผสานระหว่างความงามกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาเพียง 182 กรัม และมีความบางเพียง 7.99 มิลลิเมตร เท่านั้น ความเบาและความบางที่ได้มานี้ก็ช่วยให้เจ้าของเครื่องสามารถพกพาใส่กระเป๋ากางเกงได้คล่องตัว พร้อมกับถือจับใช้งานในโอกาสต่าง ๆ ได้สบายมือ โดยเฉพาะตอนที่เราต้องถือดูคอนเทนต์ที่สนใจเป็นเวลานาน

ฝาหลังของตัวเครื่องสีเขียว Green Wave ที่ได้รับมาในครั้งนี้ ลวดลายสีสันที่ใช้ออกแบบเกิดจากการผสมผสานระหว่างลายผ้าไหมและโลหะไหลจ นกลายเป็นลวยลายที่ฝาหลังที่สวยงาม ในขณะที่การออกแบบบริเวณฐานโมดูลกล้องก็มีสตอรี่เหมือนกันครับ ทาง OPPO บอกว่า เขาตั้งใจออกแบบบริเวณนี้ด้วย “Sunshine Rings”

โดยกล้องทั้งสามตัวจะถูกจัดวางอยู่ในอยู่ในวงแหวนสองวงที่ติดกัน และเมื่อมีแสงอาทิตย์มาตกกระทบก็จะเกิดสะท้อนแสงราวกับวงแหวนของแสงอาทิตย์ทำให้ตัวเครื่องมีความโดดเด่น มีชีวิตชีวาขึ้นมา


— Powerful of Entertainment  |  เต็มพลังด้านเอ็นเตอร์เทน

ถึงแม้ OPPO Reno11 5G จะโดดเด่นในด้านการถ่ายภาพพอร์ตเทรตมาก ๆ แต่ในด้านของการใช้งานหรือการประมวลผล ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่แข่งเลยครับ และส่วนตัวผมคิดว่าก็ยังคงทำหน้าที่ของการเป็นสมาร์ตโฟนในกลุ่มระดับกลางได้ดีทีเดียว ถึงแม้จะไม่ได้โดดเด่นในด้านนี้ แต่ก็สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีและครอบคลุมให้กับผู้ใช้ได้ดีเลยล่ะ

  • จอแสดงผล 

จอแสดงผลของ OPPO Reno11 5G เป็นหน้าจอ AMOLED พาแนล มีจุดเด่นในเรื่องของการแสดงสีดำที่ดำสนิทและขับสีสันได้กว้างกว่าบนขนาดจอ 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ มีค่า Refresh Rate 120Hz สามารถเลือกปรับการแสดงผลได้ 3 ระดับ คือ 60Hz, 90Hz และ 120Hz นอกจากนี้ตัวจอยังมีมาตรฐานการแสดงผลระดับสูง เช่น HDR10+ (Support Amazon Prime HDR), Color 10Bits เพราะฉะนั้นในด้านการรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ไม่ได้แพ้รุ่นพี่หรือคู่แข่งเลยทีเดียว 

  • ชิปเซ็ต และ RAM / ROM 

การประมวลผลทั้งทำงาน เล่นแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ รวมถึงเล่นเกม ก็ถือว่าสอบผ่านครับทำได้ดีมาก ๆ ถึงแม้จะใช้งานตัวเครื่องผ่านมา 1 เดือนแล้ว ก็ยังคงให้ประสบการณ์ที่ดีตัวซอฟต์แวร์ลื่นไหล การปิดเปิดแอปฯ ต่าง ๆ ทำได้ต่อเนื่อง ยังไม่เจออาการหน่วง ค้าง ให้หงุดหงิดตลอดเวลาที่ผมใช้งานตัวเครื่องมา 1 เดือนตั้งแต่เปิดครั้งแรก รวมถึงการเล่นเกมยอดนิยมอย่าง ROV, Ragnarok Origin, OnePunch Man และอีกหลายเกม ก็สามารถเล่นได้ด้วยกราฟฟิกระดับกลาง-สูง ขณะเล่นก็แตะลากหมุนทำได้ติดมือไม่ดีเลย์ ส่วนตัวผมให้ผ่านเลยสำหรับการเล่นเกม

ทั้งหมดก็มาจากฮาร์ดแวร์ที่ดีไล่ตั้งแต่ตัวชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 ที่ผลิตภายใต้สถาปัตยกรรม 6nm. ทำงานแบบ 2+4 Core โดยสลับเป็นคอร์ทำงานเบา – กลาง 2 คอร์ และคอร์ประสิทธิภาพสูง 4 คอร์ ทำงานร่วมกับ RAM 12GB (Dynamic RAM 12GB) และ ROM 256GB พร้อมซอฟต์แวร์ Trinity Engine บน ColorOS ที่เมื่อทั้งหมดทำงานร่วมกันบนตัวเครื่องผลลัพธ์ประสบการณ์การใช้งานที่ดีสำหรับการเป็นมือถือ Mid-range

  • ลำโพงและระบบเสียงที่เพิ่มได้ 300%

เสียงบน OPPO Reno11 5G เป็นอีกลูกเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ OPPO มาตลอด กับความสามารถในการเพิ่มระดับเสียงให้ดังกว่าปกติ 100% ขึ้นสุดที่ 300% โดยที่ยังคงรักษาคุณภาพของเสียงเอาไว้ได้มากที่สุด และยิ่งได้ลำโพงคู่ที่มาพร้อมตัวเครื่องบอกเลยว่า “ฟิน” เลยล่ะครับ ถ้าหากฟังในห้องขนาด 6-7 คน

และเมื่อใส่หูฟังโหมดนี้ก็ยังคงทำงานให้ด้วยนะครับ แต่จะลดระดับลงเหลือที่ 200% เท่านั้น สำหรับใครที่ชื่นชอบการฟังเสียงแบบกระหึ่มจุใจ ส่วนการใช้งานก็แค่กดปุ่มเพิ่มเสียงที่ด้านข้างตัวเครื่องจนไปถึงระดับ 100% จากนั้นก็กดอีกครั้งก็จะเข้าสู่โหมด 300% ทันที


— ColorOS 14   |  ระบบปฏิบัติการแห่งสีสันที่มาพร้อมคุณสมบัติใหม่

มีฮาร์ดแวร์ที่ดีแต่ถ้าขาดซอฟต์แวร์ที่ดีไปด้วย ก็คงจะยากที่จะให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีได้ใช่ไหมล่ะครับ ก็คงจะคล้ายกับการปรบมือข้างเดียวไม่ดังอย่างนั้นเลย แต่สำหรับ OPPO Reno11 5G จากที่ผมใช้งานมาได้เกือบ 1 เดือน ก็ต้องเล่าประสบการณ์เลยว่า เป็นอีกหนึ่งซอฟต์แวร์ปฏิบัติการที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีมาก ๆ อีกแบรนด์ของฝั่ง Android OS เลยล่ะครับ ตลอดการใช้งาน 1 เดือน ซอฟต์แวร์ยังคงทำงานได้ไหลลื่น ไฟล์ขยะต่าง ๆ ตัวซอฟต์แวร์ก็มีการบริหารจัดการได้ดีในระดับที่น่าพอใจเลย

ColosOS 14 ของ OPPO จะมีความแตกต่างจากของแบรนด์สักนิดหน่อย เพราะนอกจากอินเทอร์เฟซที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นไปตาม OPPO ออกแบบแล้ว ในส่วนของโครงในทาง OPPO ก็ได้มีการเข้าไปเสริมเติมแต่งในแบบฉบันของตนเองด้วยเช่นกัน โดยทาง OPPO ได้เสริมสิ่งที่เรียกว่า “Trinity Engine” ซึ่งเป็นอัลกอรึทึมสามอย่างที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของตัวเครื่องให้ยังคงลื่นไหล สมูธ เหมือนวันแรกที่ใช้งานได้ต่อเนื่อง ถึงแม้จะผ่านระยะเวลามานานหลายเดือนก็ตาม 

อัลกอริทึมทั้ง 3 อย่าง ประกอบไปด้วย

  • ROM Vitalisation
    ช่วยในด้านของบริหารจัดการพื้นที่ข้อมูลบนตัวเครื่อง โดยระบบจะบีบอัดไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานเข้าด้วย พร้อมกับลบทิ้งให้อัตโนมัติ
  • RAM Vitalisation
    บริหารจัดการระบบมัลติทาร์กกิ้ง โดยจะควบคุมการเปิดและสลับการใช้งานระหว่างแอปพลิเคชั่นทำงานหลายแอปฯ พร้อมกัน (สูงสุด 28 แอปฯ) 
  • CPU Vitalisation
    เรียนรู้พฤติกรรมของเจ้าของเครื่อง เพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญในการใช้งาน 

นอกจากนี้ยังมีการใส่ลูกเล่น เพื่อเพิ่มมิติการใช้งานให้กับผู้ใช้งานเข้ามาด้วย เช่น File Dock ที่จะทำการบันทึกรูปภาพจากอุปกรณ์ OPPO ตัวหนึ่งไปใช้งานบนอุปกรณ์ OPPO อีกตัวได้ต่อเนื่อง, Smart Image Matting ฟีเจอร์ลบพื้นหลังของวัตถุในภาพ พร้อมกับนำภาพที่ไดคัทพื้นหลังแล้วไปใช้งานต่อ เป็นต้น เรียกว่าเป็น OS ที่ใช้งานได้ลื่นและสนุกมีสีสันตามชื่อจริง ๆ

  • แบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมชาร์จไว SUPERVOOC 67W

เมื่อมีซอฟต์แวร์ที่บริหารทรัพยากรได้เก่ง จึงเป็นเหตุที่ทำให้เรื่องของพลังงานบนตัวเครื่องใช้งานได้ตลอดวันไปด้วยนั่นเอง โดยจากประสบการณ์ของผมที่ได้ใช้งานตัวเครื่องในหนึ่งวัน ซึ่งจะเน้นหนักไปที่โซเชียลมีเดียและการฟังเพลงผ่านสตรีม ในหนึ่งวันตั้งแต่เช้าที่ชาร์จเต็มจนกลับบ้านดึก ๆ ประมาณ 4 – 5 ทุ่ม แบตเตอรี่ยังเหลือประมาณ 20-30% ให้ใช้งานอยู่เลยครับ ส่วนตัวถือว่าอึดไม่เบาทีเดียว ในขณะที่ตอนชาร์จก็ได้พลัง SUPERVOOC 67W ที่สามารถชาร์จไฟกลับเข้าเครื่่องได้ไว โดยใช้เวลาประมาณ 40 – 50 นาที ก็ชาร์จได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว นอกจากเปิดโหมดถนอมแบตเตอรี่ไว้ในช่วงก่อนนอน ก็จะชาร์จเต็มตอนตื่นนอนพอดีครับ


— Best Mid-range Smartphone for Portrait Photography  |  ตัวเลือกสมาร์ตโฟนสำหรับคนรักการถ่ายพอร์ตเทรต

มาถึงบทสรุปของ OPPO Reno11 5G จากประสบการณ์ที่ผมได้ใช้งานตัวเครื่องมา 1 เดือน ก็สรุปได้เลยว่า นี้คือสมาร์ตโฟนสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพพอร์ตเทรตโดยเฉพาะ ถูกรังสรรค์มาสำหรับใครที่ชอบเดินทางไปเที่ยว แล้วชอบส่งมือถือให้แฟนหรือเพื่อนถ่ายรูปตัวเองเพื่อนำไปลงโซเชียล ผมยืนยันได้เลยว่ารุ่นนี้จะตอบโจทย์คุณได้ดีมาก ๆ เลยล่ะครับ ด้วยคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้, การใช้งานกล้องที่ใช้ง่ายเพื่อนหรือตัวคุณเองที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก่งก็ถ่ายให้สวยได้ เพราะมีฟีเจอร์ช่วยเพียบ

ส่วนใครที่ไม่ได้มองเรื่องของการถ่ายภาพพอร์ตเทรตเป็นหลัก ก็ไม่ได้หมายความว่ารุ่นนี้จะไม่ตอบโจทย์คุณนะครับ เพราะด้วยพื้นฐานฮาร์ดแวร์ที่ผมได้รีวิวไปด้านบนตัวเครื่องก็สามารถตอบรับการใช้งานได้ไม่แพ้เรื่องกล้องด้วยเช่นกัน เพียงแต่ถ้าชอบเรื่องถ่ายภาพด้วยก็จะยิ่งดึงประสิทธิภาพและจุดเด่นของรุ่นนี้ไปใช้ได้เต็มที่เท่านั้นเองครับ ดังนั้นถ้าชอบดีไซน์ ราคา และความเป็น Reno Series ของ OPPO ก็จัดได้เช่นกัน!


— Price & Promotion  |  ราคา การวางจำหน่าย และโปรโมชัน

OPPO Reno11 5G วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ในราคา 14,990 บาท พร้อมสีตัวเครื่องให้เลือกทั้งหมด 2 สี คือ สีเขียว Green Wave และสีดำ Rock Grey สามารถไปหาซื้อกันได้ที่ OPPO Brand Shop ทุกสาขา หรือ OPPO Official Store บน Lazada และ Shopee และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

 

Leave a Reply

Discover more from InsightDaily

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading