รีวิว ROG Phone 7 Ultimate ที่สุดของสมาร์ตโฟนเกมมิ่งในเวลานี้ จอ 165Hz, ชิปตัวแรง และเทคโนโลยีลดความร้อนใหม่
ROG Phone 7 Ultimate สมาร์ตโฟนเกมมิ่งตัวแรงที่สุดในตลาด ณ เวลานี้ จาก ASUS ประเทศไทย โดยรอบนี้ทาง ROG เปิดตัวมาด้วยกันทั้งหมดสองรุ่นคือ ROG Phone 7 และ ROG Phone 7 Ultimate โดยรุ่นที่จะมารีวิวครั้งนี้จะเป็นรุ่น “Ultimate” ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดใน ROG Phone 7 Series ในครั้งนี้ครับ
สำหรับจุดเด่นของ ROG Phone 7 Ultimate นอกจากสเปกตัวเครื่องที่อยู่ในระดับสูงสุดของตลาดมือถือเกมมิ่งแล้ว ยังมาพร้อมกับจอ ROG Vision จอแสดงผลที่สองด้านหลัง กับความสามารถในการแสดงอนิเมชั่นตามรูปแบบใช้งานต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงเทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิตัวใหม่ของ ASUS โดยได้รับการปรับปรุง-ออกแบบใหม่ จนทำให้สามารถช่วยลดอุณหภูมิความร้อนที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้นจากรุ่นก่อน
ทั้งหมดที่เกริ่นมาเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้นนะครับ ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกหลายจุดเลยทีเดียวสำหรับการเป็นที่สุดของมือถือเล่นเกมรุ่นนี้ เอาเป็นว่าตามผมไปลองใช้งานเจ้า ROG Phone 7 Ultimate พร้อมกันด้านล่างได้เลย!
สเปกตัวเครื่อง | SPEC
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2448 x 1080 พิกเซล (FHD+)
- Refresh rate 165GHz
- Touch Sampling rate 720Hz
- Touch latency 23 ms.
- responese time 1 ms.
- ขอบเขตในการแสดงสีกว้างสูงสุดถึง 106.87% NTSC
- ขอบเขตในการแสดงสีกว้างสูงสุดถึง 111.23% DCI-P3
- ขอบเขตในการแสดงสีกว้างสูงสุดถึง 150.89% sRGB
- ค่า Delta E < 1
- Eye Care Display ลดแสงสีฟ้าเพื่อถนอมสายตาในการใช้งานต่อเนื่อง
- กระจก Corning® Gorilla® Glass Victus™
- ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 ความเร็ว 3.19GHz รองรับ 5G
- GPU Adreno 740
- RAM 16GB LPDDR5x
- ROM 512GB (UFS 4.0)
- Android 13
- กล้องถ่ายรูป Triple camera
- กล้องหลัก ความละเอียด 50MP (IMX766, FOV84.6)
- กล้องเลนส์มุมกว้าง ความละเอียด 13MP (FOV120)
- กล้องมาโคร ความละเอียด 5MP
- กล้องหน้า ความละเอียด 32MP (FOV72.8)
- WiFi 6 : 802.11 ax/ac/b/g/n, 2.4GHz+5GHz
- 2X2 MIMO
- WiFi-Direct
- Bluetooth 5.3
- รองรับ Dual SIM | Dual 5G
- USB-C 2.0
- กันน้ำตามมาตรฐาน IP54
- แบตเตอรี่ขนาดความจุ 6000 mAh (ROG HyperCharge 65W)
อุปกรณ์ที่มาภายในกล่องของ ROG Phone 7 Ultimate
- ROG Phone 7 Ultimate (White Color)
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มซิมการ์ด
- พัดลม AeroActive Cooler 7
- เคส AeroCase
- สายชาร์จ USB-C to C
- อแดปเตอร์ชาร์จรองรับชาร์จไว ROG HyperCharge 65W
ROG Phone 7 Ultimate มาพร้อมงานดีไซน์ตัวเครื่องสไตล์ “Two Tones” กับการนำสีเงินกับสีขาวมาตัดกันที่ด้านหลังของตัวเครื่อง พร้อมกับลวดลายที่ออกแบบมาพิเศษเฉพาะของ ASUS ทำให้ภาพรวมของงานออกแบบตัวเครื่องมีความลงตัวและสวยมาก ๆ จนอยากให้ทุกคนลองไปจับตัวจริงกันเลยล่ะครับ
นอกจากสีและลวดลายที่ดูมีหนึ่งเดียวของ ASUS แล้ว สำหรับรุ่น Ultimate จะมีหน้าจอแสดงผลที่สอง ที่มีชื่อเรียกว่า “ROG Vision” ติดตั้งมาที่ด้านหลังด้วย ซึ่งจอตัวนี้เป็นจอ OLED ขนาด 2 นิ้ว รองรับการแสดงผลอนิเมชั่น 6 รูปแบบตามการใช้งาน
ขยับขึ้นไปด้านบนจะเป็นกล้องถ่ายรูป Triple camera ซึ่งประกอบด้วย กล้องหลักความละเอียด 50MP (F1.9), กล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษ (Ultra-wide) ความละเอียด 13MP (F2.2) และกล้องมาโครความละเอียด 5MP(F2.0) มีไฟแฟลช real tone Flashlight ให้ 1 ดวง
พลิกกลับมาที่ด้านหน้าจะเป็นหน้าจอแสดงผล SAMSUNG AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2448×1080 พิกเซล (FHD+) มีอัตรารีเฟรชเรทสูงสุดที่ 165Hz รองรับการปรับแบบ Adaptive ที่ 60, 90, 120, 144, 165Hz ตัวหน้าจอถูกครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass Victus
บริเวณมุมขวาบนของหน้าจอจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้าความละเอียด 32MP (F2.2) เป็นเลนส์มุมกว้างในตัวให้องศาภาพกว้าง 72.8 องศา และมีระบบโฟกัสภาพแบบ Fixed Focus
ด้านข้างขวาของตัวเครื่อง จะมีปุ่มกดปรับระดับเสียงเพิ่ม-ลด (Volume), ปุ่มเปิด-ปิดตัวเครื่อง (Power) และเซ็นเซอร์ AirTrigger บน-ล่าง
ด้านข้างซ้ายของตัวเครื่อง มีพอร์ต Pico Pin และ USB-C สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับตัวพัดลม AeroActive Cooler7 ซึ่งตัวพอร์ต USB-C รองรับการชาร์จไฟในตัวด้วย และสุดท้ายเป็นช่องถาดซิมการ์ด รองรับการใส่ซิมการ์ดแบบหน้า-หลัง (ตัวเครื่องไม่รองรับ MicroSD Card)
ด้านล่างของตัวเครื่อง มีพอร์ต USB-C และพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
มิติตัวเครื่อง : กว้าง 173 x สูง 77 x หนา 10.3 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเครื่อง 246 กรัม
SOFTWARE FOR GAMING | Android 13
เริ่มกันประตูบานแรกสู่โลกเกมมิ่งกันกับเรื่องของซอฟต์แวร์ ที่เป็นหัวใจหลักของ ROG Phone Series ของ ASUS และเป็นจุดที่แตกต่างว่าทำไมคนที่ชอบเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ จึงต้องเลือกสมาร์ตโฟนที่เกิดมาเพื่อเล่นเกมอย่าง ROG Phone 7 Ultimate เป็นสมาร์ตโฟนคู่กายกันครับ ทาง ASUS เคยเล่าให้ผมฟังในงานเปิดตัว ROG Phone 6 Series ว่า พวกเขาไม่ได้แค่ทำอินเทอร์เฟซมาครอบทับบน Android OS แบบสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ทั่วไปเท่านั้น
แต่พวกเขาพัฒนาและออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับการเล่นเกมของ ROG ที่หลายคนชื่นชอบจากฝั่ง PCs และ Notebook มาใส่ไว้บนสมาร์ตโฟน ROG Phone Series ด้วย จึงทำให้ต้องพัฒนากันถึงระดับโครงสร้างของ Android Framework กันเลยทีเดียว จะแตกต่างจากสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ทั่วไปบางแบรนด์จะทำเพียงครอบทับอินเทอร์เฟซของตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นจากการที่ ASUS ลงทุนพัฒนาลึกลงไปขนาดนี้ผลที่ได้จากการทำเช่นนี้ก็คือ การมีซอฟต์แวร์สำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ที่สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Android 13 ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน จนการทำงานทุกอย่างบนตัวเครื่องมันราบรื่น สมูธ ทำให้เราที่เป็นคนซื้อเครื่องนี้มารู้สึกสนุกและมีประสิทธิการที่ดีกับสมาร์ตโฟนรุ่นนี้นั่นเองครับ
Interface UI on ROG Phone 7 Ultimate (Android 13)
เทคโนโลยีระบายความร้อนและควบคุมอุณหภูมิ
“ความร้อน” เป็นปัญหาที่มักจะมาคู่กับการเป็นสมาร์ตโฟนที่เกิดมาสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ เพราะยิ่งชิปประมวลผลและฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่องมีประสิทธิภาพสูง แรง และเร็วแค่ไหน ปัญหาความร้อนสะสมก็เป็นของเกิดขึ้นคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะครับ ลองนึกถึงคอมพิวเตอร์ PCs ที่มีการ์ดจอแรง ๆ ดูก็ได้ครับ เรายังต้องหาซื้อระบบแทงค์น้ำหรือพัดลม Cooler มาช่วยลดอุณหภูมิเลย แล้วนับประสาอะไรกับสมาร์ตโฟนที่เล็กกว่าจริงไหมครับ
ดังนั้น ASUS ทราบถึงปัญหานี้ดี และเดินหน้าพัฒนาระบบระบายความร้อนบนสมาร์ตโฟน ROG Phone Series มาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงรุ่นที่ 7 หรือ ROG Phone 7 Series ที่ครั้งนี้ถือว่าเป็น “จุดเด่นที่สำคัญ” ของรุ่นนี้เลยก็ว่าได้
โดยทาง ASUS ได้มีการพัฒนาระบบระบายความร้อนมาใช้งานร่วมกันทั้งหมด 3 ส่วน โดยทั้ง 3 ส่วนจะทำงานสอดประสานกัน เพื่อเป้าหมายในการควบคุมและลดอุณหภูมิความร้อนที่เกิดให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดขณะที่ผู้ใช้เล่นเกม
ส่วนแรกมีชื่อว่า “GameCool 7” เป็นระบบระบายความร้อนแบบ Stand alone ไม่พึงพาอุปกรณ์เสริม เป็นการออกแบบระบบให้มีการกระจายความร้อนอย่างสมดุลภายในตัวเครื่อง โดยทางทีมงานของ ASUS ออกแบบให้ CPU ถูกจัดวางอยู่ตำแหน่งตรงกลาง พร้อมกับวางตำแหน่งแบตเตอรี่ที่มีสองก้อน ให้แยกออกจากกันเป็นสองส่วน
จึงทำให้สามารถการกระจายความร้อนมายัง ROG Rapid-Cycle Vapor Chamber ที่เป็นโครงสร้างเสากั้นละหว่างกลางของแผ่น Vapor Chamber (Trident Shape Wick Column Structure) รูปทรงตัว Y และยังมี Liquid Return Channels เพื่อเพิ่มพื้นที่การไหลและควบคุมการไหลของของเหลวภายใน Vapor Chamber ให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในการระบายความร้อนให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ต่อมาคือ AEROACTIVE COOLER 7 และ AEROACTIVE Portal เป็นส่วนที่สองและสามที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมประสิทธิภาพกันและกัน โดย AeroActive Portal เป็นเทคโนโลยีที่ถูกติดตั้งอยู่บน ROG Phone 7 Ultimate เท่านั้น ตัวของเขาจะเป็นช่องรับอากาศที่ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังของตัวเครื่อง จะทำงานออโต้โดยที่เราไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขาเลยครับ ซึ่งช่องนี้จะเปิดขึ้นให้อัตโนมัติเมื่อเราทำการติดตั้ง AeroActive Cooler 7 ที่เป็นอุปกรณ์เสริมพัดลมระบายความร้อนเข้ากับตัวเครื่องเท่านั้น
โดยหลักการทำงานก็คือ AeroActive Portal หรือช่องรับอากาศจะเปิดขึ้น เพื่อรับลมเย็นที่เกิดจากกระแสลมของ AeroActive Cooler 7 หลังจากนั้นก็จะนำผ่านลมเย็นพัดผ่านไปยังครีบระบายความร้อนของ ROG Rapid-Cycle Vapor chamber ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนเพิ่มขึ้นอีกถึง 20%
ตามทฤษฎีอาจจะยังดูงง ๆ เอาเป็นว่า จากที่ผมได้ลองใช้งานมาส่วนตัวแนะนำให้ใช้งานเทคโนโลยีระบบระบายความร้อนทั้ง 3 ส่วนนี้ไปพร้อมกัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการลดอุณหภูมิบนตัวเครื่องครับ ซึ่งเมื่อเราใช้งานทั้งสามส่วนนี้พร้อมกัน จะสามารถช่วยลดอุณหภูมิตัวเครื่องขณะเล่นเกมไปได้สักพักใหญ่ ๆ ให้กลับมาอยู่ในระดับที่สามารถถือเล่นเกมได้สนุกเหมือนตอนแรกได้เลยล่ะ
เพราะจากที่ผมได้ลองเล่นเกมแนว Open world หรือ MMORPG ที่ใช้ทรัพยากรเครื่องในการเรนเดอร์วิว ฉาก เอฟเฟ็กต์ในเกมเยอะติดต่อกันเป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง ในสภาพอากาศห้องพัดลมประมาณ 37-38 องศา และเล่นโดยไม่ได้ติดตั้งตัวพัดลม AeroActive Cooler 7 ด้วย
ผลปรากฏว่า ตัวเครื่องมีความร้อนสะสมเกิดขึ้น จนเรารู้สึกว่ามันเริ่มจะถือเล่นต่อไม่ค่อยสนุกแล้ว หลังจากนั้นจึงลองหยิบตัวพัดลม AeroActive Cooler7 มาติดตั้งใช้งานด้วย ภายใต้สภาวะปัจจัยและแวดล้อมเดิม ผลที่ได้คือ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที อุณหภูมิของตัวเครื่องก็ค่อย ๆ ลดลง จนอยู่ในระดับปกติใกล้ ๆ กับแรกเริ่มที่เราเริ่มเล่นเกมเลย
อันนี้รู้สึกประทับใจมาก ว่าเออ! ทำได้จริงเฮะ ซึ่งสำหรับตัวผมถือว่า ระบบการควบคุมอุณหภูมิของ ASUS ทำมาได้ดีเลย และเห็นผลด้วย และยังสามารถช่วยให้เราเล่นเกมได้ต่อเนื่องยาว ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของเราตามวัตถุประสงค์ในการซื้อรุ่นนี้มาเพื่อเล่นเกมให้สนุกเนี่ยล่ะ
หน้าจอแสดงผลเป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้ ROG Phone 7 Ultimate มีความแตกต่างจากสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ทั่วไป เพราะการเป็นสมาร์ตโฟนเกมมิ่งจำเป็นต้องรองรับคุณภาพด้านกราฟฟิกของเกมที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้น ROG Phone 7 Ultimate จึงถูกติดตั้งหน้าจอแสดงผล SAMSUNG AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2448×1080 พิกเซล รองรับการแสดงค่า refresh rate ได้สูงสุดถึง 165Hz และมีค่า Touch Sampling มากถึง 720 Hz ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดในตลาดมือถือ ณ เวลานี้
ยังไม่พอ! อัตราการตอบสนองหรือค่า respone time ทำได้ที่ 1ms. และค่าหน่วงการสัมผัสหรือค่า touch latency เพียง 23 ms เท่านั้น จากตัวเลขทั้งหมดที่กล่าวมา จึงทำให้จอของ ROG Phone 7 Ultimate มีความไวต่อการสัมผัส หรือตอบสนองต่อการสั่งการด้วยการแตะบนหน้าจอที่เร็วจนไม่ต้องกังวลเลยว่าจะลากหรือแตะคอนโทลตัวละครในเกมเราได้ดีแค่ไหน ผมตอบให้ได้เลยว่า จากที่ทดสอบก่อนมารีวิวนั้นความเร็วในการแตะ ลาก หรือไถ่หน้าจอ มีความใกล้เคียงหรือไม่ต่างจากการเล่นบนคอมพิวเตอร์ดี ๆ มากหนักเลยล่ะครับ
-
-
- คุณสมบัติการแสดงผลของหน้าจอ ROG Phone 7 Ultimate เพิ่มเติม
- Refresh rate 165GHz (Support Adaptive)
- Touch Sampling rate 720Hz
- Touch latency 23 ms.
- responese time 1 ms.
- ขอบเขตในการแสดงสีกว้างสูงสุดถึง 106.87% NTSC
- ขอบเขตในการแสดงสีกว้างสูงสุดถึง 111.23% DCI-P3
- ขอบเขตในการแสดงสีกว้างสูงสุดถึง 150.89% sRGB
- ค่า Delta E < 1
- Eye Care Display ลดแสงสีฟ้าเพื่อถนอมสายตาในการใช้งานต่อเนื่อง
- กระจก Corning® Gorilla® Glass Victus™
- คุณสมบัติการแสดงผลของหน้าจอ ROG Phone 7 Ultimate เพิ่มเติม
-
ROG Vision
เป็นไฮไลต์ที่เอาไว้โชว์ความเท่ในการเป็นเอกสิทธิ์หนึ่งเดียวของการเป็นเจ้าของ ROG Phone 7 Ultimate ก็ว่าได้ครับ โดย ROG Vision จะเป็นหน้าจอ OLED ขนาด 2 นิ้ว ที่ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง
โดยที่หน้าจอจะแสดงแอนิเมชั่นที่เป็นสถานะหรือเหตุการณ์ของระบบบนสมาร์ตโฟนของเรา เช่น สถานะการชาร์จ, สายเรียกเข้า หรือการเปิดใช้งานโหมด X และอื่นๆ นอกจากเรายังสามารถออกแบบแอนิเมชั่นที่จะแสดงบนจอในสไตล์ของเราเองได้ด้วยครับ อันนี้ผมว่ามันเท่ดีนะ ลองถือเอาไปข้างนอกแล้วหยิบขึ้นมาเล่นเกมในร้านกาแฟ ก็มีคนมองเหมือนกัน
มาถึงเรื่องของแบตเตอรี่กันบ้างครับ หัวใจหลักของสมาร์ตโฟนทุกเครื่องโดยเฉพาะการเป็นมือถือเกมมิ่งด้วยแล้วยิ่งสำคัญเลย เพราะถึงขั้นทำให้เราพลาดจังหวะสำคัญในเกมได้เลยทีเดียว แบตเตอรี่ของ ROG Phone 7 Ultimate มาพร้อมขนาดแบตเตอรี่ความจุ 6000 mAh
มีเทคโนโลยี “ByPass Charging” ในการปล่อยกระแสไฟข้ามไปยังระบบโดยตรงได้เลยขณะเล่นเกม ซึ่งจะช่วยในเรื่องของอายุการใช้แบตเตอรี่ที่จะเสื่อมช้าลงจากการชาร์จไปเล่นไปได้ รวมทั้งยังมี “Steady Charging” กับการควบคุมปัจจัยในการชาร์จในคงที่ เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้
นอกจากนี้ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จไว HyperCharge 65W โดยทาง ASUS เคลมว่าใช้เวลา 42 นาที สามารถชาร์จจาก 0% ไปถึง 100% ได้ จากการใช้งานจริงของผมเวลาในการชาร์จเต็มจาก 0 – 100% จะมีความคลาดเคลื่อนประมาณ 5-10 นาทีครับ น่าจะเกี่ยวกับอุณหภูมิและกระแสไฟที่ใช้ด้วย
ROG Phone 7 Ultimate รองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ทั้งสองพอร์ตบนเครื่อง
โดยทาง GSMArena ได้เคยทดสอบแบตเตอรี่ของ ROG Phone 7 ไว้ ผลการทดสอบคือ สามารถคุยโทรศัพท์ต่อเนื่องได้ถึง 36:23 ชั่วโมง ท่องเว็บไซต์ 18:16 ชั่วโมง และสารถเล่นวีดีโอต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 29:27 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และยกให้เป็นหนึ่งในเกมมิ่งสมาร์ทโฟนที่มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดเครื่องหนึ่ง
ซึ่งจากการที่ผมใช้งานจริงก่อนมารีวิวให้ทุกคนนั้น ผมก็ขอยืนยันอีกเสียงครับว่า แบตเตอรี่ของเจ้า ROG Phone 7 Ultimate ถ้าหากใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียล ดูสตรีมวีดีโอ และเล่นเกมต่อวัน 3-4 ชั่วโมง จัดว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่มีแบตฯ อึดอีกรุ่นในตลาดตอนนี้เลย
แต่เมื่อไรก็ตามที่เปิดสลับโหมดการใช้งานไปที่โหมดประสิทธิภาพสูง หรือ X Mode มันจะเป็นคนละเรื่องเลย เพราะเป็นโหมดที่ถูกออกแบบมาให้ตัวเครื่องรีดเค้นประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของตัวเครื่องออกมา ด้วยการดึงทรัพยากรเครื่องที่สูงขึ้นจากเดิม ดังนั้นก็ต้องแลกมากับการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วย จากที่ผมลองทดสอบดูทั้งสองโหมดคือ Dynamic และ X Mode จะกินพลังงานเพิ่มขึ้นโดยประมาณจากที่ผมกะเอานะครับ ประมาณ 30 และ 50% ตามลำดับ จากโหมดปกติ
กล้องถ่ายรูป อาจไม่ใช่จุดขายหลักของ ROG Phone 7 Ultimate แต่ก็ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนเกมมิ่งที่ให้กล้องถ่ายรูปคุณภาพดีมาด้วยนะ และยังมีฟีเจอร์ลูกเล่นช่วยถ่ายภาพมาให้พอประมาณ ช่วยให้ถ่ายสนุกมากขึ้น เพียงแต่ส่วนตัวของผมรู้สึกว่า ระดับความคาดหวังของภาพถ่ายหลังกล้องอาจจะจัดอยู่ในระดับกลาง ๆ ครับ ยังสู้เรือธงฝั่งไลฟ์สไตล์ที่เขาเน้นเป็นพิเศษไม่ได้ แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่นะ ทำได้ดี เราลองมาดูรายละเอียดกัน
กล้องของ ROG Phone 7 Ultimate เป็นกล้อง Triple camera ประกอบด้วย
-
-
- กล้องหลัก ความละเอียด 50MP ใช้เซ็นเซอร์ IMX766 (F1.9)
- กล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษ ความละเอียด 13MP (F2.2, FOV 120)
- กล้องมาโคร ความละเอียด 5MP (F2.0)
-
ภาพตัวอย่างจากกล้อง ROG Phone 7 Ultimate
กล้องหน้า 32MP
ภาพเซลฟี่จากกล้องหน้าของ ROG Phone 7 Ultimate
ผมขอแยกเรื่องของการเล่มเกมออกมาเป็นหัวข้อใหญ่ในการรีวิวเลยล่ะกันครับ เพราะถือว่าเป็นจุดขายของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เลย สำหรับประสบการณ์การเล่นเกมผ่านตัวเครื่องของ ROG Phone 7 Ultimate จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เล่นรุ่นก่อนมาสองรุ่นคือ ROG Phone 6D และ ROG Phone 5 ก็ยอมรับเลยว่ามีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องเลยจริง
โดยประสบการณ์ในการเล่นเกมส่วนตัวผมให้หลายผ่านมาก ๆ เมื่อเรามองเอาการเล่นเกมบนสมาร์ตโฟนเป็นตั้งตั้ง และเอาความต้องการของคนเล่นเกมมาพิจารณาดู ก็พบว่ามันค่อนข้างครบมาก ๆ อาจมีรายละเอียดบางจุดที่อาจขาดหายไปบาง แต่ก็มีบางจุดที่ทดแทนเข้ามา
โดยเฉพาซอฟต์แวร์เล่นเกมอย่าง “Game Genie” ที่ถูกติดตั้งมาใน ROG Phone Series ทุกรุ่น ซอฟต์แวร์ตัวนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ และเป็นจุดที่ทำให้ ROG Phone Series ทุกรุ่นของ ASUS มีความแตกต่างจากสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ทั่วไป ที่หลายคนมองว่าไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อเกมมิ่งโฟนเลยก็ได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับครับว่า “ใช่ครับ” ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นคนชื่นชอบการเล่นเกมขนาดต้องตื่นเช้ามาทำภารกิจในเกมให้ครบในทุกวันอะไรแบบนี้
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการเล่นเกมมาก ๆ อยู่แล้ว และได้ลองเล่นเกมบนมือถือพร้อมกับมีซอฟต์แวร์เกมมิ่ง Game Genie ด้วย รับรองว่าเลยว่านอกจากจะถูกใจแล้ว ยังชวนให้นึกถึงฟิลลิ่งการเล่นเกมบนคอมฯ พีซีด้วย เพราะภายใน Game Genie จะมีฟีเจอร์สำหรับการเล่นเกมคล้ายกับของคอมฯ พีซีไว้ให้เลือกใช้งานเยอะมาก
ไม่ว่าจะเป็นโหมด “Macro” ที่เราแทบไม่ได้เห็นบนสมาร์ตโฟนทั่วไป, การดูข้อมูลทรัพยากรเครื่องแบบเรียลไทม์ เช่น การทำงานของ CPU/GPU ดูอุณหภูมิตัวเครื่อง หรือสถานะแบตเตอรี่ รวมไปถึงเฟรมเรท, การเปิดโหมดช่วยยิง ที่จะมีเป้า Crosshair ขึ้นมาให้ สำหรับเกมที่ไม่มีเป้ายิง เป็นต้น
อินเทอร์เฟซของ Game Genie
นอกจากเรื่องของซอฟต์แวร์สำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะแล้ว ในด้านฮาร์ดแวร์ทั้งจอภาพทีได้รีวิวไปในช่วงต้น ยังมีเรื่องของระบบเสียงที่ผมมองว่า ASUS ใส่ใจรายละเอียดของคนชอบเล่นเกมพอสมควร เพราะเขาติดตั้งระบบเสียงมาให้ทั้งผ่านลำโพงภายนอก และการใช้ชุดหูฟังด้วย โดย ROG Phone 7 Ultimate จะมีการติดตั้งลำโพงคู่หน้าขนาด 12 x 16 มม. สามารถให้ระดับเสียงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 50% และให้เสียงเบสที่หนักแน่นขึ้น 20%
นอกจากจากนี้ยังเสริมด้วยซับวูฟเฟอร์ซุปเปอร์ลิเนียร์ขนาด 13 x 38 มม. ที่ถูกติดตั้งแยกมาให้ในอุปกรณ์เสริมอย่างพัดลมคูลเลอร์ AeroActive 7 กับความสามารถในการช่วยยกระดับเสียงจากลำโพงที่ตัวเครื่องเพียงอย่างเดียว ให้มีมิติเสียงที่อิ่มมากขึ้นด้วยเสียงเบสที่หนักแน่นขึ้นได้อีก 77% และรองรับการให้เสียงระบบ 2.1 ที่สามารถแยกเสียงซ้าย-ขวาในตัวได้ด้วย
ในขณะที่ถ้าใครชอบฟังเสียงจากชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ถ้า ASUS ก็ใส่เทคโนโลยีเสียงของ Qualcomm aptx, aptx Lossless และ Dirac Virtuo มาให้ด้วย จึงทำให้ถ้าหากหูฟังที่ใช้งานรองรับ ก็จะเพิ่มอรรถรสด้านเสียงในการเล่นเกมได้เหมือนการใช้ลำโพงนอกเลยทีเดียว
‘ยังครับ ยังไม่จบ!’ เพราะนี้คือสมาร์ตโฟนที่เกิดมาเพื่อการเล่นเกมมือถือ ดังนั้นจะมาแบบธรรมดาไม่ได้ ในด้านของการสั่งการและควบคุมนอกจากการสั่งการผ่านการทัชบนหน้าจอแล้ว ในด้านกายภาพ ROG Phone 7 Ultimate ยังมาพร้อม Air Trigger ซึ่งเป็นเกมมิ่งฟีเจอร์ที่ใช้ปุ่มสัมผัสเทคโนโลยีอัลตร้าโซนิค เข้ามาช่วยเพิ่มมิติในการเล่นเกมให้มากขึ้น โดยบนตัวเครื่องจะมีเซ็นเซอร์ติดตั้งมาสองจุด (มุมซ้ายและขวาบน เมื่อใช้งานตัวเครื่องในแนวนอน)
เราสามารถตั้งค่าการใช้งานได้ทั้งหมด 9 รูปแบบ ตามความถนัดเพื่อการควบคุมเกมได้หลากหลายกว่าเดิม เปรียบเสมือนมีอีกสองมือช่วยเล่นเกมก็ได้ครับ ฟีเจอร์นี้ถ้าใครชอบเล่นเกมแนว PUBG หรือ ROV รับรองว่าถูกใจแน่นอน เพราะเซ็ตคีย์ลัดในการกดสกิลคอมโบได้เยอะกว่าการทัชหน้าจอปกติ สามารถช่วยชิงจังหวะต้องเข้าสู่แบทเทิลได้ด้วย
นอกจากการใช้ Air Trigger ในการช่วยคอนโทลเกมแล้ว ตัวเครื่อง ROG Phone 7 Ultimate ยังรองรับการคอนโทลผ่าน “Motion Control” หรือการควบคุมการเคลื่อนไหวของเกมตามตัวเครื่อง และสุดท้ายคือมีระบบสั่น Haptic เพื่อเพิ่มความอินขณะเล่นเกมด้วยนะ อารมณ์แบบจอย PS เลยล่ะ
อินเทอร์เฟซของแอปพลิเคชั่น Armoury Crate
ผลคะแนนการทดสอบประสิทธิตัวเครื่องจากแอปพลิเคชัน
มาถึงช่วงท้ายของการรีวิวกันแล้วครับ สำหรับตัวผมที่ได้ใช้งาน ROG Phone 7 Ultimate เครื่องนี้มา 3-4 วัน ก็ยอมรับเลยว่า รู้สึกประทับใจในเรื่องของความไว การตอบสนอง และความไหลลื่นในการแตะสัมผัส-สั่งการหน้าจอ รวมถึงตัวเครื่องเป็นอย่างมาก ตลอดจนประสบการณ์การเล่นเกมที่ทาง ASUS นำเสนอออกมาผ่านตัวเครื่องทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่ส่วนตัวรู้สึกว่า ตรงตามจุดขายของรุ่น และชอบมาก ๆ ครับ และคิดว่าใครที่ชอบเล่นเกมมือถืออยู่แล้วเหมือนกัน ก็น่าจะชื่นชอบสมาร์ตโฟนตัวจบของ Gamer อย่าง “ROG Phone 7 Ultimate” รุ่นนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนถ้าหากถามผมว่า “รุ่นนี้เหมาะกับใคร?” ผมแนะนำว่า ROG Phone 7 Ultimate รุ่นนี้จะเป็นมือถือที่เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการเล่นเกมบนมือถือเป็นชีวิตจิตใจ หรือกำลังมองหาประสบการณ์การเล่นเกมบนมือถือที่ดีที่สุด และให้ประสบการณ์ได้ใกล้เคียงกับเกมคอนโซลมากที่สุด เจ้า ROG Phone 7 Ultimate รุ่นนี้จะเป็นคำตอบให้กับคุณได้อย่างลงตัวและแน่นอน
เพราะเป็นสมาร์ตโฟนตัวจบ ที่ซื้อแล้วจบเลย และต้องมีจริง ๆ สำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่นเกมครับ แล้วคุณจะไม่ต้องการสมาร์ตโฟนเกมมิ่งตัวอื่นอีกเลย ฟันธง! แต่ถ้าหากคุณไม่ได้ชื่นชอบการเล่นเกมอะไรมากขนาดนั้น ส่วนตัวผมก็แนะนำว่า ก็ยังไม่จำเป็นต้องข้ามมาฝั่งเกมมิ่งโฟนก็ได้ครับ หรือถ้าอย่างลองเริ่มต้นเปิดประสบการณ์ดูก็ลองเริ่มจาก ROG Phone 7 ดูก็ได้ครับ
แล้วถ้าต้อง “เลือกระหว่าง ROG Phone 7 กับ ROG Phone 7 Ultimate เลือกรุ่นไหนดี? ” คำถามนี้ก็ต้องตอบว่า อยู่ที่งบของแต่ละคนนั่นแหละครับ ว่าเราไหวรุ่นไหน หรือชอบรุ่นไหน ก็ไปจัดรุ่นนั้นได้เลย โดยทั้งสองรุ่นนี้จะมีจุดแตกต่างด้วยกันทั้งหมด 3 จุดใหญ่ คือ ตรงจอ ROG Vision, ช่องระบายความร้อน AeroActive Portal และพัดลม AeroActive Cooler7 ที่จะมีมาให้ในรุ่น Ultimate เท่านั้น (ไม่มีแยกจำหน่าย) นอกนั้นสเปกจะเหมือนกันทั้งคู่ครับ ก็หวังว่าจะได้คำตอบในการเลือกซื้อสมาร์ตโฟนเกมมิ่งที่ดีที่สุดของตลาดเมืองไทย ณ เวลานี้กันนะครับ
ASUS ประเทศไทย วางจำหน่าย ROG Phone 7 Series ด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น คือ
- ROG Phone 7 Ultimate (RAM 16GB | ROM 512GB) ราคา 42,990 บาท (รุ่นในรีวิว) มีสีตัวเครื่องสีเดียว คือ สีขาว Storm White
- ROG Phone 7 (RAM 16GB | ROM 512GB) ราคา 34,990 บาท มีสีตัวเครื่อง 2 สี คือ สีดำ Phantom Black และ สีขาว Storm White
โปรโมชั่น Early Bird ROG Phone 7 Series
เมื่อซื้อ ROG PHONE 7 ทุกรุ่น รับฟรี! ชุดหูฟังเกมมิ่งไร้สาย ROG Strix Go 2.4 มูลค่า 3,390 บาท (ลงทะเบียนรับของแถมได้ที่ : https://th.rog.gg/t2ve0Q) เฉพาะคำสั่งซื้อตั้งแต่ 28 มิ.ย. – 18 ก.ค. 66 เท่านั้น
และพิเศษ! เมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพ็คเกจรายเดือนกับ AIS 5G (ซื้อผ่าน AIS : https://m.ais.co.th/GAHGQrzHP)
- ROG Phone 7 ราคาเริ่มต้นที่ 29,490.-*
- ROG Phone 7 Ultimate ราคาเริ่มต้นที่ 37,490.-*
ลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมมา AIS รายเดือน ลดเพิ่มอีก 1,000 บาท!* (*เงื่อนไขตามที่ AIS กำหนด)
ขอขอบคุณ ASUS ประเทศไทย